Custom Search
Latest Article Get our latest posts by subscribing this site

หลักการพิมพ์ออฟเซต (The offset printing)

               การพิมพ์ออฟเซตเป็นวิธีการพิมพ์ที่นิยมมากที่สุดในหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยใช้เพื่อการ
พิมพ์เชิงพานิชประเภทสิ่งพิมพ์ทั่วไปและสิ่งพิมพ์เพื่อการเผยแพร่เป็นส่วนใหญ่การพิมพ์ออฟเซตมี
วิวัฒนาการมาจาก “การพิมพ์หินหรือการพิมพ์ลิโทกราฟฟี่ ” (Lithography) ซึ่งเป็นการพิมพ์ทางตรงใน
ลักษณะที่แม่พิมพ์สัมผัสวัสดุที่ใช้พิมพ์โดยตรง การถ่ายทอดภาพและข้อความท้าได้โดยส่งผ่านน้าและ
หมึกพิมพ์ไปบนแม่พิมพ์หิน เมื่อทาบวัสดุพิมพ์ซึ่งได้แก่กระดาษลงไปบนแม่พิมพ์แล้วใช้แรงกดก็จะได้
ภาพและข้อความปรากฏบนวัสดุใช้พิมพ์ตามต้องการ ภาพและข้อความที่ปรากฏบนแม่พิมพ์จะเป็นภาพ
กลับซ้ายขวากับภาพและข้อความที่ปรากฏบนวัสดุใช้พิมพ์



ผู้คิดค้นการพิมพ์ลิโทกราฟฟี่คือ อลัวส์ เซเนเฟลเดอร์ (Alois Senefelder) บางครั้งอาจเรียก
วิธีการพิมพ์ออฟเซตว่า “ออฟเซตลิโทกราฟฟี่” (Offset Lithography) แต่ส่วนใหญ่มักเรียกกันว่า
“ออฟเซต” ค้าว่าออฟเซตมีความหมายว่า “ทางอ้อม” โดยมีที่มาจากการถ่ายทอดภาพทางอ้อมจาก
แม่พิมพ์ผ่านตัวกลางที่เป็นผ้ายางก่อนที่จะสู่วัสดุใช้พิมพ์ แทนการถ่ายทอดโดยตรงจากแม่พิมพ์สู่วัสดุใช้
พิมพ์ ในการถ่ายทอดภาพและข้อความในการพิมพ์ออฟเซตจ้าเป็นจะต้องใช้แรงกดพิมพ์เช่นเดียวกันกับ
การพิมพ์ลิโทกราฟฟี่ และการพิมพ์ระบบอื่น แต่แรงกดที่ใช้ควรน้อยที่สุดที่จะท้าให้เกิดการพิมพ์ได้
การพิมพ์ออฟเซตเป็นการพิมพ์ที่ได้รับความนิยมมากเนื่องจากสามารถพิมพ์ด้วยชั้นหมึกพิมพ์ที่บางและ
สม่้าเสมอรวมทั้งให้คุณภาพการพิมพ์ที่คมชัด นอกจากการถ่ายทอดภาพและข้อความจากแม่พิมพ์ลงบน
วัสดุใช้พิมพ์ต้องผ่านยางโดยใช้แรงกดพิมพ์ที่พอเหมาะแล้ว การใช้ผ้ายางในการพิมพ์ออฟเซตช่วยให้
เกิดผลดีต่อคุณภาพงานพิมพ์ เนื่องจากผ้ายางมีความหยุ่นและนุ่มจึงสามารถรองรับรายละเอียดของภาพ
และข้อความได้มาก ดังนั้น เมื่อสัมผัสกับวัสดุใช้พิมพ์และใช้แรงกด ผ้ายางจึงสามารถถ่ายทอด
รายละเอียดของภาพและข้อความได้ดี ผลดังกล่าวจะเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการพิมพ์ภาพ

สกรีน ความหยุ่นตัวของผ้ายางท้าให้การพิมพ์ภาพสกรีนด้วยวิธีการพิมพ์ออฟเซตมีคุณภาพดี ใกล้เคียงกับต้นฉบับมากเกิดความผิดเพี้ยนน้อย การพิมพ์ออฟเซตยังยังให้คุณภาพการพิมพ์ที่สวยงามเพราะไม่ก่อให้เกิดรอยเว้าที่ด้านหน้าหรือรอยนูนที่ด้านหลังของแผ่นพิมพ์ ดังเช่นในการพิมพ์เลตเตอร์เพรส อย่างไรก็ตามการพิมพ์ออฟเซตให้มีคุณภาพที่ดีนั้นต้องอาศัยผู้ปฏิบัติงานพิมพ์ที่มีความสามารถและช้านาญงานสามารถปรับความสมดุลระหว่างหมึกและน้้าได้ตลอดระยะการพิมพ์และพิมพ์งานให้มีชั้นหมึกที่บางที่สุดและใช้น้้าน้อยที่สุดที่จะเกิดความอิ่มตัวของสีหมึกพิมพ์ได้มากที่สุด
แม่พิมพ์ออฟเซต เป็นแม่พิมพ์พื้นราบ ส่วนใหญ่ท้าจากอลูมิเนียมที่มีการเคลือบสารไวแสง การถ่ายทอดภาพและข้อความท้าได้โดยอาศัยหลักการทางเคมีที่ไขมันและน้้าจะไม่รวมตัวกันหรือรวมตัวได้น้อย ในระหว่างการพิมพ์จะมีการจ่ายน้้าและหมึกบนแม่พิมพ์ หมึกจะเกาะติดบริเวณภาพของแม่พิมพ์ที่มีคุณสมบัติในการรับหมึก ในขณะที่น้้าจะติดเฉพาะบริเวณไร้ภาพซึ่งมีคุณสมบัติรับน้้าและ
ต้านหมึกพิมพ์ น้้าที่ใช้ในการพิมพ์ออฟเซตเป็นน้้ายาฟาวเท่นที่มักเป็นสารละลายที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม 5 - 20 เปอร์เซ็นต์
รู

รูปแบบของการพิมพ์งานสี กับเครื่องพิมพ์ออฟเซต 5 Colour Offset Printing Machine


เป็นตัวอย่างลักษณะการดำเนินกิจการโรงพิมพ์ งานพิมพ์ด้วยระบบเครื่องพิมพ์ออฟเซตกับสิ่งพิมพ์สี ที่ใช้เทคโนโลยีของเครื่องพิมพ์แบบ 5 Colour Offset Printing Machine

การพิมพ์โดยแม่พิมพ์พื้นแบน (planographic Printing)


               แม่พิมพ์ชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นแผ่นแบน (Plate)  การพิมพ์จะอาศัยหลักการทางเคมี  คือ  เมื่อจัดทำภาพบนแผ่นโลหะแบนแล้ว  คุณสมบัติที่ต้องการคือ  เมื่อทาหมึกลงบนแผ่นนั้นส่วนที่เป็นภาพจะดูดหมึกไว้  ส่วนที่ไม่มีภาพคือไม่ต้องการพิมพ์จะไม่ดูดหมึก  เมื่อนำไปกดทับกระดาษหมึกก็จะติดบนกระดาษเป็นภาพที่ต้องการได้  การพิมพ์แบบนี้เป็นที่นิยมมากเรียกว่าระบบออฟเซท (Offset)  เหมาะสำหรบการพิมพ์ตัวหนังสือและภาพหลายเส้น  ลงบนแผ่นกระดาษ  แผ่นโลหะ หรือผ้าก็ได้



ระบบพรินท์ออนดิมานด์ คืออะไร?

ในแวดวงธุรกิจสิ่งพิมพ์ หากย้อนกลับไปสัก 9-10ปีก่อน หากมีใครเอ่ยออนดิมานด์
ขึ้นมาก็คงไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่

สาเหตุที่มันไม่คุ้นหูไม่ใช่ว่ามันยังไม่เริ่มมี แต่คุณภาพงานพิมพ์ที่ได้ยังไม่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า เหมือนกับงานพิมพ์ออฟเซ็ททั่วไปจึงทำให้ออนดิมานด์ยังคงรอการพัฒนาขีดความสามารถต่อไปถ้าเป็นหนังจีนกำลังภายในก็ต้องบอกว่าไปออกไปฝึกวิทยายุทธกับอาจารย์ก่อน แต่ภายในระยะเวลาเพียงไม่นาน พรินท์ออนดิมานด์เหมือนได้อาจารย์ดีเ พราะผ่านการฝีกวิทยายุทธมาอย่างแก่กล้า

คงไม่มีใครปฎิเสธได้ว่าไม่รู้จักเครื่องพรินท์ออนดิมานด์ เพราะเป็นระบบพรินท์ที่มีความสามารถใกล้เคียงกับงานพิมพ์ออฟเซ็ท และที่สำคัญระบบพรินท์ออนดิมานด์ยังผลิตงานได้เร็วตามความต้องการลูกค้าอีกด้วย

หลาย ๆ ค่ายของผู้ผลิตเครื่องพรินท์ พยายามที่จะงัดกลยุทธิ์ และนำเสนอขีดความสามารถของเครื่องอย่างเข้มข้น ซึ่งก็ต้องบอกว่ามันเป็นผลดีต่อวงการพิมพ์บ้านเราทำให้เรามีความหลากหลายในการเลือกใช้สินค้าและบริการมากขึ้นด้วย
หากคนที่ไม่ได้อยู่ใน แวดวงการพิมพ์แล้ว บางครั้งเราแทบแยกไม่ออกได้ว่างานพิมพ์ที่อยู่เบื้องหน้านี้พิมพ์ด้วยระบบอะไร? เพราะเทคโนโลยีของเครื่องปรินท์ออนดิมานด์นั้นต้องเรียกได้ว่าก๊อปปี้มาจากระบบงานพิมพ์ออฟเซ็ทเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสี เครื่องพิมพ์บางตัวหากใช้กล้องขยายส่องดูจะเห็นเป็นเม็ดสกรีนเช่นเดียวกับระบบพิมพ์ออฟเซ็ตก็มี

ในส่วนของการทำงานหลังการพิมพ์เสร็จสิ้น (post press) ไม่ว่าจะเป็นการเคลือบ การเข้าเล่ม,การทำ Spot uv ,ทำบล็อกใบมีดตัดพับ ต่าง ๆ เหล่านี้ ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกับงานออฟเซ็ท เรียกได้ว่าหากคุณกำลังมองหางานพิมพ์อะไรสักอย่างที่ยอดพิมพ์ไม่มากนัก ออนดิมานด์ น่าจะตอบโจทย์ได้บ้าง เพราะประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายไปได้มาก

กลับมาที่คำถามว่า ออนดิมานด์คืออะไร ทำไมเราต้องพรินท์ออนดิมานด์
สาเหตุหลัก ๆที่ทำให้ปัจจุบันคนนิยมหันมาพิมพ์ออนดิมานด์กันมากขึ้นก็เพราะ

1. ระบบพรินท์ออนดิมานด์มีความสวยงามเทียบเท่ากับออฟเซ็ท

2. มีความรวดเร็วไม่ต้องรอนานหลายวันเหมือนเมื่อก่อน

3. ลดค่าใช้จ่ายในการผลิตไปได้มาก เมื่อเทียบกับระบบออฟเซ็ท
(ในกรณีพิมพ์ยอดจำนวนน้อย ๆ )

4. ไม่ต้องเก็บสต็อกสินค้าไว้นาน สามารถพิมพ์เท่ายอดที่จำเป็นก็ได้ ซึ่งสาเหตุหลักก็คือ พิมพ์ยอดน้อย ๆ ได้ราคาถูก และเร็วน่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ออนดิมานด์ กินขาดออฟเซ็ทไปหลายช่วงตัว

เครดิต จาก http://www.fileopen.co.th/

ระบบการพิมพ์ออฟเซ็ต คืออะไร?

การพิมพ์ offset เป็นการพิมพ์พื้นราบที่ใช้หลักการน้ำกับน้ำมันไม่รวมตัวกันซึ่งบนแผ่นแม่พิมพ์จะมีทั้งสองส่วน คือบริเวณที่ไม่มีภาพก็จะเป็นที่รับน้ำและในส่วนที่มีภาพก็จะเป็นสารเคมีที่เป็นพวกเดียวกับหมึก

หมึกของระบบออฟเซ็ตจะไม่เกาะน้ำแต่จะไปเกาะบริเวณที่เป็นภาพแล้วถูกถ่ายลงบนผ้ายางและกระดาษพิมพ์ต่อไปการพิมพ์ระบบออฟเซ็ทนั้น สามารถพิมพ์ได้ตั้งแต่ 1 สี จนถึง 5 สี หรือมากกว่านั้นก็ได้ถ้าหากมีความต้องการ


หลักในการถ่ายทอดภาพของระบบออฟเซ็ต

ออฟเซ็ตเป็นระบบการพิมพ์พื้นฐานทั่วไปใน ระบบ 3 โม คือ

1. โมแม่พิมพ์

2. โมผ้ายาง

3. โมแรงกด

พร้อมด้วยระบบทำความชื้นและระบบการจ่ายหมึกให้แก่แม่พิมพ์เมื่อมีการเคลื่อนไหว แม่พิมพ์จะหมุนไปรับน้ำ หรือ ความชื้นแล้วจึงไปรับหมึก
เมื่อแม่พิมพ์รับหมึกในบริเวณภาพแล้ว จะหมุนลงไปถ่ายโอนไปให้โมผ้ายางแล้วจึงถ่ายลงวัสดุพิมพ์โดยมีโมกดพิมพ์เป็นตัวควบคุมน้ำหนักแรงกดทับ

ในส่วนของเครื่องพิมพ์ออฟเซ็ต โดยทั่วไปไม่ว่าจะเป็นเครื่องพิมพ์เล็กหรือเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่ ก็มีหลักการทำงาน คล้าย ๆ กันดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ซึ่งในปัจจุบันจัดได้ว่าระบบการพิมพ์ออฟเซต เป็นระบบงานพิมพ์ที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุดเพราะให้คุณภาพของงานพิมพ์ที่สูง และราคาไม่สูงมากเหมาะสําหรับใช้พิมพ์สื่อสิ่งพิมพ์ทุกชนิด

เครดิต จาก http://www.fileopen.co.th/

การทำแม่พิมพ์ระบบออฟเซท

การทำแม่พิมพ์เป็นกระบวนการที่สำคัญ ซึ่งนักออกแบบต้องเรียนรู้ไว้เพื่อจะได้ออกแบบต้นฉบับ และใช้คำสั่งให้ถูกต้อง เข้าใจตรงกัน ขั้นตอนนี้จะใช้ช่างเทคนิคเฉพาะด้านเรียกว่าช่างทำแม่พิมพ์ ซึ่งแม่พิมพ์ของแต่ละระบบพิมพ์จะมีลักษณะและวิธีการทำที่แตกต่างกัน เช่น การพิมพ์แบบกราเวียร์ แม่พิมพ์จะเป็นแบบแท่งกลม การพิมพ์แบบแฟลกโซกราฟี่ แม่พิมพ์จะเป็นแผ่นยาง การพิมพ์แบบซิลค์สกรีน แม่พิมพ์จะเป็นผ้าใยสังเคราะห์ขึงตรึงอยู่บนกรอบไม้ การพิมพ์เลตเตอร์เพรส แม่พิมพ์จะเป็นตัวเรียงโลหะนูนขึ้นมา ส่วนที่เป็นภาพจะเป็นบล็อก และการพิมพ์ระบบออฟเซท แม่พิมพ์จะเป็นแผ่นโลหะผิวเรียบ แม้ว่าแม่พิมพ์จะมีลักษณะแตกต่างกันแต่ก็มีการพัฒนาร่วมกันดังนี้ 

ในปีค.ศ. 888 ชาวจีนค้นคิดแม่พิมพ์จากการแกะสลักตราประจำแผ่นดินและทำแม่พิมพ์จากการแกะสลักไม้ 

ในปีค.ศ. 899 ชาวจีนใช้ประติมากรรมเป็นแม่พิมพ์เพื่อการลอกรูป 

ในปีค.ศ. 1241 ชาวเกาหลีสามารถหล่อตัวเรียงโลหะได้เป็นผลสำเร็จ 

ในปีค.ศ. 1440 โจฮัน กูเต็นเบิร์ก หล่อตัวเรียงโลหะ คิดค้นหมึกพิมพ์และแท่นพิมพ์ระบบเล็ทเตอร์เพลส 

ในปีค.ศ. 1495 อัลเบิร์ด ดูเลอร์ คิดค้นการทำแม่พิมพ์กราเวียร์ โดยใช้เหล็กแหลมเขียนหรือจานบนแผ่นทองแดง คลึงหมึกและพิมพ์เป็นภาพที่มีความคมชัดมาก 

ในปีค.ศ. 1513 อู การ์ พัฒนาการพิมพ์ระบบแม่พิมพ์กราเวียร์ โดยใช้กรดกัดแผ่นเหล็กให้เป็นร่อง และพัฒนาไปสู่การพิมพ์ธนบัตร 

ในปีค.ศ. 1520 รูคัส แวน ไลย์เด็น ทำแม่พิมพ์กราเวียร์ โดยใช้กรดกัดแผ่นทองแดง และพัฒนาเป็นแม่พิมพ์ร่องลึก 

ในปีค.ศ. 1827 โจเซฟ เนียฟฟอร์เนียฟ ชาวฝรั่งเศส ได้ค้นคิดการคงสภาพภาพถ่ายได้เป็นผลสำเร็จเป็นภาพเนกาตีฟ ซึ่งถ่ายจากกล้องออบสคูรา เป็นภาพถ่ายอาคารที่อยู่ตรงกันข้ามกับห้องทำงานของเขา นับเป็นภาพถ่ายที่คงสภาพถาวร ภาพแรกของโลก 

ในปีค.ศ. 1839 หลุย ดาแก ใช้วิธีถ่ายภาพถ่ายลงบนแผ่นบล็อกเป็นแม่พิมพ์แทนการเขียนภาพ เรียกว่ากระบวนการดาแกโรไทป์ 

1. ต้นฉบับหรืออาร์ตเวิร์ค 

หลังจากช่างอาร์ตได้จัดทำต้นฉบับ หรืออาร์ตเวิร์ค เขียนคำสั่ง และตรวจสอบความถูกต้องดีแล้ว ควรเตรียมต้นฉบับให้อยู่ในสภาพที่ดี เรียบร้อย พร้อมใช้งาน เช่นภาพประกอบที่เป็นภาพเล็กควรใส่ซอง ภาพใหญ่ควรม้วนและเขียนเลขหน้าไว้ด้านหลัง ถ้าเป็นสไลด์ควรเก็บไว้ในซองพลาสติก ติดภาพตามตำแหน่งที่ต้องการด้วยเทป นอกจากนี้ต้นฉบับควรติดบนกระดาษแข็ง มีกระดาษบางปะหน้า และมีกระดาษปิดหน้าเป็นปกอีกครั้งหนึ่งเพื่อกันการขีดข่วน จากนั้นจึงส่งต่อไปยังโรงพิมพ์และร้านเพลท เพื่อดำเนินการทำแม่พิมพ์ ช่างทำแม่พิมพ์จะศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับต้นฉบับ และคำสั่งต่างๆอย่างละเอียดจนเข้าใจตรงกับความต้องการของนักออกแบบแล้วจึงส่งไปถ่ายฟิล์มแยกสี ขั้นตอนนี้นับว่าสำคัญเพราะช่างทำแม่พิมพ์จะทำตามคำสั่งในต้นฉบับต้องชัดเจน เข้าใจตรงกัน เช่น การสั่งรหัสสีต้องถูกต้องตรงกับไกด์สี เป้นต้น นอกจากนี้ควรตระหนักเสมอว่า ต้นฉบับที่ดีและสมบูรณ์ งานพิมพ์ที่สำเร็จออกมาก็จะดีด้วย 

2.การถ่ายฟิล์ม 

เป็นการนำต้นฉบับที่ได้รับการตรวจสอบความถูกต้อง เรียบร้อยแล้ว ไปถ่ายฟิล์ม เพื่อเป็นต้นแบบไว้ โดยใช้ฟิล์มลิท (Lith Film) ซึ่งเป็นฟิล์มที่มีความเข้มสูง สามารถเก็บรายละเอียดได้มากกว่าฟิล์มทั่วไป การฟิล์มเพื่อการทำแม่พิมพ์แบ่งออกเป็นสองลักาณะคือ 
2.1 ถ่ายฟิล์มลายเส้น (Line Work) เป็นการถ่ายตัวอักษร ข้อความต่างๆ ภาพเขียนภาพวาดลายเส้นหรือภาพถ่ายทั่วไป บางครั้งเรียว่า ถ่ายสกรีนลายเส้น เมื่อนำไปพิมพ์ภาพที่ปรากฏจะเป็นสองนำหนักคือ ขาว - ดำ บางครั้งนักออกแบบต้องการภาพที่แปลกตาออกไป อาจจะนำภาพถ่ายที่มีหลายนํ้าหนักมาถ่ายสกรีนลายเส้นก็ได้ 
2.2 ถ่ายฟิล์มภาพสกรีน (Screen Work หรือ Half tone)


เป็นการถ่ายฟิล์มจากต้นฉบับที่เป็นรูปถ่ายหรือสไลด์ มีหลายนํ้าหนักต่อเนื่องกันในหนึ่งภาพ (Continuous tome) ตั้งแต่ดำมาก ดำ ปานกลาง นวล ขาว เช่น ภาพถ่ายทั่วไป ในการถ่ายฟิล์มทำแม่พิมพ์จะใช้แผ่นสกรีนช่วยควบคุมแสงให้ตกลงบนฟิล์มในปริมาณที่แตกต่างกัน ซึ่งปรากฏบนฟิล์มเป็นเม็ดเล็กๆเรียกว่าเม็ดสกรีน ทำให้ภาพที่พิมพ์ออกมา ดูด้วยสายตาปกติจะเห็นเป็นสีเรียบๆ มีลักษณะเป็นนํ้าหนักอ่อนแก่ต่อเนื่องกันเหมือนภาพจริง แต่ถ้าขยายดูจะเห็นเป็นจุดหรือเป็นเม็ดสกรีนเต็มไปทั้งภาพ บริเวณที่มีสีเข้มจะเป็นบริเวณที่มีจำนวนเม็ดสกรีนมาก บริเวณที่มีสีอ่อนจะมีจำนวนเม็ดสกรีนน้อย การถ่ายฟิล์มลักษณะนี้เป็นการถ่ายฟิล์มเพื่อการพิมพ์สีเดียว 
3. การแยกสี (Color Separation) 
เป็นการถ่ายฟิล์มที่แตกต่างไปจาก 2 ลักาณะแรก เพราะเป็นการถ่ายฟิล์มเพื่องานพิมพ์สอดสี (Process Color) โดยมีจุดมุ่งหมายให้เหมือนหรือใกล้เคียงต้นฉบับมากที่สุด (วัตถุสิ่งของต่างๆในธรรมชาติมีสีสรรมากมาย ในขณะที่การพิมพ์มีเพียงสี่สี และสีพิเศษเท่านั้น) การแยกสีจะเริ่มจาการถ่ายฟิล์มแยกสีทีละสี โดยใช้ฟิลเตอร์สีต่างๆ (Fillter )ได้แก่ แดง เขียว นํ้าเงินและนูตรอล (Neutral ) ตามลำดับ ต่อจากนั้นจึงประกอบแผ่นสกรีนลงบนฟิล์มที่แยกสีแล้ว สุดท้ายจะได้ฟิล์มสี 4 ชุดคือ 
3.1 ฟิล์มสำหรับนำไปพิมพ์ด้วยหมึกสีแดงบานเย็น (Magenta ) 
3.2 ฟิล์มสำหรับนำไปพิมพ์ด้วยหมึกสีฟ้า (Cyan) 
3.3 ฟิล์มสำหรับนำไปพิมพ์ด้วยหมึกสีเหลือง (Yellow ) 
3.4 ฟิล์มสำหรับนำไปพิมพ์ด้วยหมึกสีดำ (Black ) 

- เมื่อแยกฟิล์มแล้ว นำแต่ละฟิล์มอัดลงบนเพลท แล้วพิมพ์ด้วยหมึกพิมพ์ทั้งสี่สีจะได้ภาพเหมือนต้นฉบับทุกประการ แต่ก่อนวงการพิมพ์ของไทยจะแยกสีด้วยฟิลเตอร์ ปัจจุบันแยกสีด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า เครื่องสแกนเนอร์ (Electronic Scanner) ซึ่งเป็นระบบการแยกสีโดยใช้โฟรโตเซล (Photo cell ) เป็นตัวแยกสีโดยการจับหมึกของสีและถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์มแยกสีด้วยเครื่องมือทางอีเล็คทรอนิค เป็นตัวแยกสีทำให้ได้งานที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับต้นแบบสะดวกและรวดเร็ว (ขั้นตอนนี้สัมภาษณ์จากผู้ชำนาญการของร้าน เจ.ฟิล์ม ) เริ่มจากนำต้นฉบับเข้าห้องถ่าย เข้าเครื่องคิดเปอร์เซนต์ ถ้าเป็นสไลด์ต้องนำมาติดกับหลอกแก้วของเครื่องสแกนเนอร์ด้วยกาว แล้วป้อนโปรแกรมสี เปอร์เซนต์ ขนาดของฟิล์ม ขนาดของรูป เมื่อเครื่องล้างเสร็จก็จะนำไปล้างที่เครื่องล้างฟิล์ม โดยผ่านนํ้ายา DGV,FIX,NASH แล้วออกมายังที่พักเก็บฟิล์ม นำฟิล์มมาเช็คขนาดกับอาร์ตเวิร์ค จัดเข้าชุดกันแล้วใส่ไว้เป็นซองๆ จากนั้นจึงส่งไปยังช่างประกอบฟิล์มต่อไป 

- เครื่องสแกนเนอร์ที่ใช้ในการแยกสีมีหลายแบบ คุณภาพการทำงานแล้วแต่การโปรแกรมและราคา มีทั้งจับภาพ จับหมึก แล้วเจาะเป็นแม่พิมพ์บนแผ่นโลหะเลย และจับหมึก แยกสี ถ่ายออกมาเป็นฟิล์มพร้อมสกรีนในตัวเสร็จเรียบร้อย ปัจจุบันได้พัฒนาไปถึงการจับหมึก แยกสี พร้อมสกรีนแล้วประกอบฟิล์มได้เลย โดยใช้เครื่องประกอบฟิล์มทำงานควบไปกับเครื่องแยกสี นอกจากนี้ยังสามารถแยกสีจากสไลด์ที่ซ้อนกันหรือตัดส่วนที่ไม่ต้องการในภาพออกได้ด้วย 

- ภาพถ่ายทั่วไปกับภาพจากสไลด์ เมือ่แยกสีด้วยเครื่องจากแสกนเนอร์ จะให้ผลใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับฝีมือช่างถ่ายภาพและความคมชัดของภาพ เครื่องแยกสีสามารถทำได้ทั้งสองอย่างแต่ถ้าภาพที่มีความคมชัดใกล้เคียงกัน ภาพจากสไลด์จะได้คุณภาพที่ดีกว่า สีสันมีความแน่น มีความละเอียด มีชีวิตชีวามากกว่า และสามารถขยายให้ใหญ่ได้ ในขณะที่ภาพถ่ายทั่วไปถ้าขยายใหญ่เกินไป (เกินสองเท่าตัว) เกรนจะใหญ่ขึ้น ทำให้ภาพพล่ามัว ไม่คมชัดเท่าที่ควรหรือที่เรียกว่าแกรนแตก



4. การประกอบฟิล์ม 
-งานพิมพ์สอดสี จะประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นภาพ โลโก้ ตัวอักษรและข้อความต่างๆบางครั้งมีสีพิเศษด้วย ทำให้ต้องแยกถ่ายฟิล์ม แยกสีแต่ละส่วนแล้วนำมาประกอบกัน เช่น ส่วนที่เป็นภาพ 4 สี จะแยกเป็นฟิล์มจากเครื่องสแกนเนอร์ ส่วนที่เป็นตัวหนังสือสีเดียวกันหรือสีตายจะได้จากการถ่ายฟิล์มลายเส้น เป็นต้น นำมาประกอบรวมกันเป็นชุด 1 ชุดจะมี 4 สี ส่วนสีพิเศษต้องทำเพลทแยกอีกต่างหาก


5. การเรียงฟิล์มหรือการเลย์ฟิล์ม 
เป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องจาการประกอบฟิล์ม โดยทำฟิล์มที่ประกอบถูกต้องตามแบบหรือต้นฉบับแล้ว มาจัดวางตามดัมมี ตามอาร์ตเวิร์ค ถ้าเป็นหนังสือ จะจัดวางตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ เพื่อสะดวกแก่การเก็ย หรือการพับยก ก่อนที่จะนำไปอัดลงเพลท 
ดัมมี หมายถึงรูปแบบจำลองของสิ่งพิมพ์สำเร็จ จัดทำโดยผู้ออกแบบสิ่งพิมพ์ เป็นสิ่งที่กำหนดว่า ตัวอักษรข้อความ รูปภาพ อยู่ในตำแหน่งใด สีอะไร ในกรณีที่เป็นงานพิมพ์ที่ไม่ซับซ้อนมากนัก การทำดัมมีอาจทำเพียงคร่าวๆ และจำลองขนาดให้เล็กลงกว่างานจริงก็ได้ตามสะดวกแต่ถ้าเป็นสิ่งพิมพ์ที่ซับซ้อน (มีการเจาะ การตัดบางส่วน) ควรทำดัมมีให้ชัดเจนมีการกำหนดรายละเอียด ตำแหน่งต่างๆที่แน่นอนตายตัว เพื่อผู้ประกอบฟิล์ม ผู้พิมพ์ ผู้จัดเก็บทำรูปสำเร็จจะได้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง อันเป็นการลดปํญหา การผิดพลาดในการพิมพ์อีกทางหนึ่งด้วย 
การเรียงฟิล์มต้องคำนึงถึงความถูกต้องตามต้นฉบับ ขนาดของแท่นพิมพ์ การพับ การเก็บเล่มเป็นหลัก จะทำตามความคิดเห็นของช่างเรียงฟิล์มไมได้ เพราะบางครั้งช่างเรียงเห็นเหมาะสม แต่นักออกแบบต้องการให้แปลกออกไป ดังนั้นเมื่อมีข้อขัดข้องหรือสงสัย ควรสอบถามเจ้าของงานก่อน เพราะถ้าเรียงฟิล์มไม่ถูกต้องสิ่งพิมพ์ก็จะผิดไปหมด เช่น ภาพกลับหัว ตัวหนังสือทับสกรีนไม่ชัดเจน ภาพกลับซ้ายเป็นขวา เป็นต้น 

6. การอัดเพลท 

เพลทเป็นแผ่นบางๆผิวหน้าเรียบ ทำด้วยวัสดุหลายชนิด เช่น กระดาษ พลาสติก และโลหะต่างๆ เช่น สังกะสี ทองแดง อลูมิเนียม เพลทมี 2 ชนิดคือ 
6.1 เพลทกราเวียร์ เป็นแผ่นเรียบส่วนที่ต้องการพิมพ์จะกัดกรดเป็นนบ่อ เป้นร่องลึก เวลาพิมพ์จะพิมพ์ตรง เพลทแม่พิมพ์และกระดาษและกระดาษจะสัมผัสกันด้วยแรงกด 
6.2 เพลทออฟเซท เป็นแผ่นเรียบ ส่วนใหญ่จะทำด้วยอลูนิเนียม ฉาบและเคลือบด้วยนํ้ายาไวแสง ส่วนที่เป็นภาพจะฉาบไว้ด้วยนํ้ายามีคุณสมบัติรับหมึก ไม่รับนํ้า เมื่อคลึงหมึกลงไปจะติดหมึกเฉพาะส่วนที่เป้นภาพ ไม่ติดพื้น (ซึ่งเคลือบไว้ด้วยนํ้ายาฟลาวเท็น) เวลาพิมพ์จะพิมพ์โดยอ้อมลงบนโมยางก่อนพิมพ์ลงบนกระดาษ เพลทออฟเซทมีหลายขนาด เช่น ขนาดเล็ก 21.5 นิ้ว x 25.5 นิ้ว และชนาดใหญ่ 31.5 นิ้ว x 41.5 นิ้ว 

ขั้นตอนการอัดเพลท 


1. นำฟิล์มที่ผ่านการเลย์ และติดบนแผ่นแอสร่อนแล้ว เข้าเครื่องอัดเพลทที่มีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยม มีหลอดไฟที่ใช้กระแสไฟประมาณ 4,000 วัตต์อยู่ด้านบน หลอดไฟนนี้จะให้แสงอุลตร้าไวโอเลตที่แรงมาก จึงต้องมีม่านป้องกันแสงไว้รอบๆเครื่องอัดเพลท ภายในเครื่องอัดเพลทจะมีมอเตอร์ ปั้มลม ดูดอากาศภายในเครื่องอัดเพลทออกให้หมด เพื่อให้ฟิล์มแอสร่อนแนบสนิทกับพื้นเพลท เวลาพิมพ์จะได้มีความสมํ่าเสมอสวยงาม ถ้าอัดเพลทไม่แนบสนิทที่เรียกว่าเพลทบวม เมื่อพิมพ์ออกมาแล้วส่วนที่เป็นสกรีนจะไม่เรียบเสมอเหมือนต้นฉบับ 

2. นำเพลทที่ผ่านการอัดด้วยแสง มาล้างด้วยนํ้ายา โดยเครื่องล้างเพลท ซึ่งมีอยู่ 2 ส่วน คือ ที่เป็นนํ้ายาทำหน้าที่ล้างส่วนที่ไม่ต้องการออกเป็นพื้นเพลทสีขาว หรือสีเนื้อเพลท ส่วนที่เป็นนํ้าจะทำหน้าที่ล้างคราบนํ้ายาออกอีกครั้งหนึ่ง เพลทที่ผ่านกระบวนการออกมาจากเครื่องล้างเพลทจะมีส่วนที่ต้องการพิมพ์เป็นสีเขียว ส่วนที่ไม่ต้องการพิมพ์จะเป็นสีขาว 

3. นำเพลทที่ออกจากเครื่องล้างเพลท ไปยังอ่างล้างนํ้า ลงหมึกดำเพื่อรักษาเนื้อเพลท ให้คงทนต่อการพิมพ์ ก่อนส่งไปยังโรงพิมพ์จะนำเพลทไปทา กาวกรัม เพื่อรักษาหน้าเพลทอีกครั้งหนึ่ง 
สรุปการทำแม่พิมพ์เป็นขั้นตอนที่ดำเนินการโดยผู้ที่ชำนาญการญฉพาะด้าน ซึ่งส่วนใหญ่เรามอบให้โรงพิมพ์เป็นผู้ดำเนินการหลังจากที่ต้นฉบับเป็นที่พอใจของลูกค้าแล้ว หรืออาจจะดำเนอนการเองที่เรียกว่าวิ่งเพลท โดยไปติดต่อกับร้านทำเพลทโดยตรงก็ได้ 
การทำแม่พิมพ์มี 2 ชนิดคือแม่พิมพ์ขาว-ดำ หรือแม่พิมพ์สีเดียวซึ่งไม่ค่อยยุ่งยากนักและแม่พิมพ์ 4 สี ซึ่งจะได้ผลงานที่มีหลายสีตามธรรมชาติ หรือตามของจริงที่ปรากฏเห็น โดยจะถ่ายเป็นมาสเตอร์แล้วแยกสีออกเป็นสิ่สี คือ สีแดง สีฟ้า สีเหลือง สีดำ ต่อจากนั้นจึงนำมาประกอบฟิล์ม เรียงพิมพ์ให้ได้สีตามต้นฉบับ เลย์ฟิล์มตามหน้าต่างๆ เมือ่ถูกต้องตามต้นฉบับแล้วจึงอัดลงเพลท พิมพ์ปรู๊ฟตรวจดูความถูกต้องอีกครั้งหนึ่งจึงนำส่งโรงพิมพ์ต่อไป

ขอบคุณข้อมูลดีจาก http://www.epccorps.com/lesson09.htm

การผลิตหมึกพิมพ์ข้นเหนียว

             หมึกพิมพ์ข้นเหนียวทั้งหมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์และหมึกพิมพ์ออฟเซตมีกระบวนการผลิตที่เหมือนกันตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

การผสมก่อนบด
    การผสมก่อนบดเป็นขั้นตอนในการนำผงสีทั้งหมด  บางส่วนของวานิช สารเติมแต่ง และตัวทำละลายมาผสมกันในภาชนะโลหะโยใช้เครื่องผสมที่มีความเร็วสูงเพื่อให้อนุภาคของผงสีมีขนาดเล็กลงและน้อยลงและทำให้ถูกเป๊ยกด้วยวานิช วานิชมีลักษณะเป็นของเหลวเตรียมได้โยนำเรซิ่นมาทำปฏิกริยาหรือละลายกับน้ำมันและตัวทำละลาย
         
             ผงสีโดยทั่วไปถ้าพิจารณาจากอนุภาค สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ


อนุภาคเดี่ยว(primary particle)
เป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กสุดและมีพันธะเคมีที่มีความแข็งแรงมาก ผงสีอนุภาคเดี่ยวมีรูปร่างโมเลกุลเป็น 3 แบบ คือ อสัณฐานหรือไม่เป็นผลึก (amorphous) สเฟียริเคิลหรือทรงกลม(sherical) และเป็นผลึก (crystalline)


อนุภาคปานกลาง (aggregat)
อนุภาคที่มีขนาดปานกลางเกิดจากการรวมตัวของอนุภาคเดี่ยว โดยการยึดติดกันด้วยพันธะเคมีระหว่างพื้นผิวของอนุภาคเดี่ยว ซึ่งพันธะเคมีที่ยึดติดกันนี้มีความแข็งแรงมากเช่นกัน


อนุภาคใหญ่ (agglomerate)
อนุภาคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งเกิดจากพันธะอย่างอ่อนระหว่างโมเลกุลของอนุภาคปานกลาง

การบด
การบดเป็นขั้นตอนที่ทำให้โมเลกุลของผงสีมีขนาดเล็กจนเป็นอนุภาคเดี่ยวซึ่งมีขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน ซึ่งได้รับการทำให้เปียกและกระจายตัวในวานิชโดยใช้เครื่องบด เครื่องบดที่นิยมใช้สำหรับหมึกพิมพ์ข้นเหนียวมีอยู่ 2 ชนิด คือ เครื่องบดชนิดลูกกลิ้ง 3 ลูก (three roll mill ) และเครื่องบดชนิดชอต (shot mill)


การผสมสี
     ในขั้นตอนนี้จะมีการเติมส่วนที่เหลือให้ครบสูตรและมีการเติมแต่งระดับคล้ำสีให้ได้ตามต้องการ  ดดยการเติมผงสีหรือแม่สีลงไปในเครื่องบดชนิดลูกกลิ้ง 3 ลูกโดยตรง ซึ่งเหมาะกับการทำหมึกพิมพ์ข้นเหนียวในปริมาณที่เหมาะสม  ส่วนการทำหมึกในปริมาณที่มาก มักนิยมผสมสีในภาชนะโลหะโดยใช้เครื่องผสมที่มีความสูง 

การตรวจสอบคุณภาพ 
        หลังจากผสมสีให้ได้ระดับคล้ำสีตามที่ต้องการแล้วก่อนบรรจุภาชนะจะต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของหมึกให้ได้ตามมาตารฐานตามที่ต้องการเสียก่อน ซึ่งรายละเอียดในเรื่องการควบคุมคุณภาพจะได้กล่าวต่อไป

การกรอง
        หลังจากตรวจสอบคุณภาพแล้วจะบรรจุจะต้อวเอาสิ่งสกปรกหรือฝุ่นออกเสียก่อนโดยถุงกรองชนิดพิเศษ  ซึ่งจะทำการกรองเฉพาะการบดด้วยเครื่องบดหมึกชนิดชอตและต้องเป็นหมึกเหลวพอสมควร

การบรรจุภาชนะ
        ภาชนะที่บรรจุมีหลายชนิด คือ 1  2  5  16  20  และ180 กิโลกรัม

ประเภทของหมึกพิมพ์ข้นเหนียว

              หมึกพิมพ์หมึกข้นเหนียวมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท แต่ในที่นี้จะกล่าวถึง 2 ประเภทที่รู้จักกันดี คือ หมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์ และหมึกพิมพ์ออฟเซตลิโธกราฟีหรือหมึกพิมพ์ออฟเซต
 
หมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์
           
               หมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์เป็นหมึกพิมพ์ที่ใช้กับระบบการพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์ ซึ่งเป็นงานพิมพ์ที่มีหลักการ คือ เริ่มด้วยการจ่ายหมึกให้กับผิวส่วนที่เป็นภาพของแม่พิมพ์ (แม่พิมพ์เป็นแบบพื้นนูน) จากนั้นป้อนแผ่นกระดาษที่วางอยู่บนแม่พิมพ์ มีแรงกดช่วยให้หมึกพิมพ์สามารถถ่ายทอดไปยังกระดาษนั้นให้ติดแน่นได้ หลักการคล้ายกับการพิมพ์ระบบเฟล็กโซกราฟีซึ่งมีแม่พิมพ์เป็นแบบพื้นนูนเช่นเดียวกัน  แต่หมึกที่ใช้ของระบบการพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์จะเป็นหมึกพิมพ์ข้นเหนียว ไม่ใช่หมึกพิมพ์เหลวเหมือนระบบการพิมพ์เฟล็กโซกราฟี

หลักการของระบบการพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์

หมึกพิมพ์ออฟเซตลิโธกราฟี
               หมึกพิมพ์ออฟเซตลิโธกราฟีหรือเรียกสั้นๆว่า หมึกพิมพ์ออฟเซต หรือในต่างประเทศนิยมเรียกว่า หมึกลิโธกราฟี เป้นหมึกพิมพ์ที่ใช้กับระบบการพิมพ์ออฟเซตซึ่งเป็นระบบที่มีหลักการ คือ หมึกจะถ่ายทอดจากรางหมึกไปยังแม่พิมพ์  และจากแม่พิมพ์จะถ่ายทอดไปยังวัสดุที่ใช้พิมพ์  โดยผ่านผ้ายาง(Blanket) แม่พิมพ์ที่ใช้เป็นแบบพื้นราบ (planographic) แม่พิมพ์จะเคลือบด้วยสารเคมีซึ่งทำให้เกิดเป็นบริเวณภาพและบริเวณไร้ภาพได้  โดยบริเวณไร้ภาพหรือบริเวณที่ไม่ต้องการพิมพ์จะรับน้ำจากรางน้ำและไม่รับหมึกทำให้ไม้เกิดภาพพิมพ์ขึ้นเกิด
หลักการของระบบการพิมพ์ออฟเซต

nn

คลังบทความของเทคโนโลยีการพิมพ์