ธุรกิจการพิมพ์ได้รับการยอมรับว่า เป็นธุรกิจหนึ่งที่มีความสำคัญในการพัฒนาประเทศ มีการเจริญเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการรวมตัวและยกระดับขึ้นเป็นหนึ่งในอุตสากรรมหลักของประเทศ โดยมีบทบาทอย่างยิ่งต่อการศึกษา การเมื่องการปกครอง การสื่อสาร ขณะเดียวกันยังเป็นอุตสาหกรรมที่สนับสนุนอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้านส่งออก โดยมีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อุตสาหกรรม ส่งผลให้เกิดการสร้างรายได้ให้แก่ประเทศเป็นมลูค่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งหมายถึงธุรกิจการพิมพ์บรรจุภัณฑ์นั่นเอง
Latest Article Get our latest posts by subscribing this site
โปรแกรมที่ใช้ในการวางหน้า
Posted by Ok-Workshop
Posted on 21:41
ตัวอย่างโปรแกรมที่ใช้ในการทำงานตั้งแต่กำหนดรูปแบบการวางหน้าจนกระทั่งการสั่งพิมพ์ผลออก ดังต่อไปนี้
แสดงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการวางหน้า (Impostion)
ชื่อโปรแกรม : Signastation
บริษัทผู้ผลิต : Heidelberg
ระบบปฏิบัติการ : Mac/Windows
ชื่อโปรแกรม : KIM PDF
บริษัทผู้ผลิต : Krause-Biagosch Gmblt
ระบบปฏิบัติการ : Windows
ชื่อโปรแกรม : Quite Imposing
บริษัทผู้ผลิต : Quite Software
ระบบปฏิบัติการ : Mac/Windows
ชื่อโปรแกรม : Pandora
บริษัทผู้ผลิต : Scenie Software
ระบบปฏิบัติการ : Mac/Windows
ชื่อโปรแกรม : Preps
บริษัทผู้ผลิต : Scenie Software
ระบบปฏิบัติการ : Mac/Windows
แสดงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการวางหน้า (Impostion)
ชื่อโปรแกรม : Signastation
บริษัทผู้ผลิต : Heidelberg
ระบบปฏิบัติการ : Mac/Windows
ชื่อโปรแกรม : KIM PDF
บริษัทผู้ผลิต : Krause-Biagosch Gmblt
ระบบปฏิบัติการ : Windows
ชื่อโปรแกรม : Quite Imposing
บริษัทผู้ผลิต : Quite Software
ระบบปฏิบัติการ : Mac/Windows
ชื่อโปรแกรม : Pandora
บริษัทผู้ผลิต : Scenie Software
ระบบปฏิบัติการ : Mac/Windows
ชื่อโปรแกรม : Preps
บริษัทผู้ผลิต : Scenie Software
ระบบปฏิบัติการ : Mac/Windows
ระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ในการวางหน้า
Posted by Ok-Workshop
Posted on 19:26
การวางหน้าด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์วางหน้าเป็นเท๕โนโ,ยีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบันในการวางหน้า เนื่องจากมีความสะดวกและรวดเร็ว และมีความถูกต้องในการทำงานสูง เมื่อเปรียบเทียบกับการวางหน้าระบบอื่น ขั้นตอนการวางหน้าทั้งหมดสามารถกำหนดและดำเนินการได้ด้วยคำสั่งที่มีอยู๋ในโปรแกรม ในปัจจุบันมีโปรแกรมที่ใช้ในการวางหน้ามีอยู่มากมาย อาทิเช่น
และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วความสามารถและวิธีการทำงานจะมีพื้นฐานและแนวคิดเดียวกัน ซึ่งจำลองมาจากการวางหน้าด้วยมือ ดังนั้น ผู้ที่มีพื้นฐานในการวางหน้าด้วยมือ สามารถใช้แนวคิดและประสบการณ์มาปรับใช้งานกับโปรแกรมการวางหน้าได้
Preps,
Impostrip,
Signastation
สูตรหมึกพิมพ์ของหมึกพิมพ์ข้นเหนียว
Posted by Ok-Workshop
Posted on 19:08
สูตรหมึกพื้นฐานโดยทั่วไปของหมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์และหมึกพิมพ์ออฟเซตที่ใช้พิพม์จะมิได้ระบุถึงข้อกำหนดของแต่ละองค์ประกอบหลักเฉพาะลงไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดเครื่องพิมพ์และการใช้งาน
ตัวอย่างสูตรหมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์
หมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์ที่แห้งตัวแบบการเกิดพอลิเมอร์โดยการออกซิไดส์ ตัวอย่างเช่น
ชนิดของสาร
ผงถ่าน(carbon black) ปริมาณที่ใช้ 20
โทนเนอร์สีฟ้าสะท้อนแสง(reflex toner) ปริมาณที่ใช้ 4
อัลคิดจากถั่วเหลือง(soyabean alkyd) ปริมาณที่ใช้ 32
วานิช ปริมาณที่ใช้ 30
ตัวทำละลายจากการกลั่นปิโตเลียม ปริมาณที่ใช้ 9
สารที่ช่วยทำให้แห้ง ปริมาณที่ใช้ 2
ไข ปริมาณที่ใช้ __3
100
ตัวอย่างสูตรหมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์
หมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์ที่แห้งตัวแบบการเกิดพอลิเมอร์โดยการออกซิไดส์ ตัวอย่างเช่น
ชนิดของสาร
ผงถ่าน(carbon black) ปริมาณที่ใช้ 20
โทนเนอร์สีฟ้าสะท้อนแสง(reflex toner) ปริมาณที่ใช้ 4
อัลคิดจากถั่วเหลือง(soyabean alkyd) ปริมาณที่ใช้ 32
วานิช ปริมาณที่ใช้ 30
ตัวทำละลายจากการกลั่นปิโตเลียม ปริมาณที่ใช้ 9
สารที่ช่วยทำให้แห้ง ปริมาณที่ใช้ 2
ไข ปริมาณที่ใช้ __3
100
ความหมายของการวางหน้าเพื่อทำแม่พิมพ์
Posted by Ok-Workshop
Posted on 08:08
การวางหน้าเป็นกระบวนการของการจัดวางหน้า (หรือชิ้นงาน) จำนวนหน้าเดียวหรือหลายหน้าเข้าด้วยกัน ลงบนพื้นที่ที่กำหนดไว้เพื่อใช้ในการทำแม่พิมพ์ โดยพื้นที่ที่กำหนดไว้นั้นจะถูกกำหนดโดยขนาดพื้นที่ในการพิมพ์ของเคร่องพิมพ์ ส่วลักษณะของการจัดวางนั้นจะขึ้นอยู่กับชนิดของงานพิมพ์ เช่น งานพิมพ์เป็นหนังสือเล่ม แผ่นพับ หรือฉลาก และลักษณะของการพิมพ์ เช่น พิมพ์แบบป้อนแผ่น หรือป้อนม้วน ทั้งสองปัยจัยเป็นตัวกำหนดให้ลักษณะของการวางหน้าแตกต่างกัน
สิ่งที่สำคัญในการวางแผนการวางหน้า คือจะต้องแน่ใจว่า เรื่องมือและอุปกรณืที่มีอยู่สามารถผลิตงานออกมาได้ตามรูปแบบที่กำหนดไว้ ทั้งในส่วนการตัด การพับ และการเข้าเล่ม เพราะเมื่องานผ่านกระบวนการพิมพ์แล้ว หากมีการผิดพลาดในกางวางหน้าที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ในการพับหรือการเข้าเล่ม ก็จะเกิดการเสียหายอย่างมากต่อการผลิต ดังนั้น ก่อนทำการวางแผนการวางหน้า ควรศึกษาความสามารถและข้อจำกัดของเครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีอยู่ แล้วจึงออกแบบการวางหน้าให้เหมาะสมสอดคล้องกัน
สิ่งที่สำคัญในการวางแผนการวางหน้า คือจะต้องแน่ใจว่า เรื่องมือและอุปกรณืที่มีอยู่สามารถผลิตงานออกมาได้ตามรูปแบบที่กำหนดไว้ ทั้งในส่วนการตัด การพับ และการเข้าเล่ม เพราะเมื่องานผ่านกระบวนการพิมพ์แล้ว หากมีการผิดพลาดในกางวางหน้าที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ในการพับหรือการเข้าเล่ม ก็จะเกิดการเสียหายอย่างมากต่อการผลิต ดังนั้น ก่อนทำการวางแผนการวางหน้า ควรศึกษาความสามารถและข้อจำกัดของเครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีอยู่ แล้วจึงออกแบบการวางหน้าให้เหมาะสมสอดคล้องกัน
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวางหน้า
Posted by Ok-Workshop
Posted on 07:35
ขั้นตอนการวางหน้า (imposition) มีความต่อเนื่่องกับขั้นตอนในการจัดประกอบหน้า กล่าคือ หลังจากที่นำข้อความและภาพต้นฉบับมารวมกันในแต่ละหน้าหรือแต่ละแบบตามที่ได้ออกแบบไว้แล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นวิธีการจัดวางงานดังกล่าวเพื่อให้แม่พิมพ์ โดยมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับกระบวนการผลิตในขั้นตอนการพิมพ์และขั้นตอนหลังพิมพ์ แต่เดิมการวางหน้าทำด้วยมือโดยช่างเลย์หรือช่างวางหน้า โดยนำเอาฟิล์มที่จัดประกอบหน้าและนำมาทำการวางหน้าที่ละหน้าทีละสี และมีการพัฒนาจนกระทั่งถึงยุคการใช้คอมพิวเตอรผืในการจัดประกอบหน้าและพิมพ์ผลออกมาเป็นฟิล์มแยกสี แต่เนื่องจากในยุคต้นของการจัดประกอบหน้าด้วยความพิวเตอร์ ขนาดของเครื่องอิมเมจเซตเตอร์ที่ใช้ในการพิมพ์ผลออกเป็นฟิล์มขนาดเล็ก เช่น ขนาด A4 หรือ ขนาด A3 ดังนั้น การพิมพ์ผลออกจึงทำได้ทีละหน้าหรือสองหน้า จากนั้นจึงเอาฟิล์มแยกสีของงานหน้าต่างๆ มาจัดวางเข้าเป็นยกหรือกรอบเพื่อใช้ในการทำแม่พิมพ์ต่อไป
การแห้งตัวของหมึกพิมพ์ข้นเหนียว
Posted by Ok-Workshop
Posted on 04:57
การแห้งตัวของหมึกพิมพ์ข้นเหนียวมีกลไกการแห้งตัวแบ่งออกได้เป็น 4 ลักษณะ คือการแทรกซึม(penetration) การเกิดพอลิเมอร์โดยการออกซิไดส์ (oxidative polymertion) แบบผสม (combination) และการเกิดพอลิเมอร์โดยใช้รังสีอุลต้าไวดอเลต
การแทรกซึม การแห้งตัวแบบการแทรกซึมมักเกิดขึ้นกับหมึกพิมพ์ข้นเหนียวที่มีความหนืดต่ำอย่างเช่นหมึกพิมพ์ที่ใช้พิมพ์หนังสือพิมพ์ทั้งหมึกพิมพ์ออฟเซคและหมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์ โดยอาศัยหลักการที่ตัวทำละลายในหมึกพิมพ์จะแทรกซึงผ่านลงไปในช่องว่างของกระดาษ จึงทำให้เกิดการแห้งตัวขึ้น
การเกิดพอลิเมอร์โดยการออกซิไดส์ การแห้งตัวแบบนี้เกิดขึ้นเฉพาะกับหมึกพิมพ์ข้นเหนียวที่ประกอบด้วยเรซิ่นและน้ำมันที่ไม่อิ่มตัว ซึ่งโมเลกุลประกอบไปด้วยหมู่เอทิลีน (C=C) การแห้งตัวแบบนี้แบ่งออกได้เป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
แบบผสม การแห้งตัวแบบผสมเป็นการเกิดร่วมกันของการแห้งตัวแบบแทรกซึมและการแห้งตัวแบบการเกิดพอลิเมอร์โดยการเกิดออกซิไดส์ ซึ่งมักเกิดขึ้นกับหมึกพิมพ์ข้นเหนียวชนิดป้อนแผ่น
การเกิดพอลิเมอร์โดยใช้รังสีอัลตราไวโอเลต การแห้งตัวแบบนี้จะใช้รังสีอุลตราไวโอเลตช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างพอลิเมอร์
การแทรกซึม การแห้งตัวแบบการแทรกซึมมักเกิดขึ้นกับหมึกพิมพ์ข้นเหนียวที่มีความหนืดต่ำอย่างเช่นหมึกพิมพ์ที่ใช้พิมพ์หนังสือพิมพ์ทั้งหมึกพิมพ์ออฟเซคและหมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์ โดยอาศัยหลักการที่ตัวทำละลายในหมึกพิมพ์จะแทรกซึงผ่านลงไปในช่องว่างของกระดาษ จึงทำให้เกิดการแห้งตัวขึ้น
การเกิดพอลิเมอร์โดยการออกซิไดส์ การแห้งตัวแบบนี้เกิดขึ้นเฉพาะกับหมึกพิมพ์ข้นเหนียวที่ประกอบด้วยเรซิ่นและน้ำมันที่ไม่อิ่มตัว ซึ่งโมเลกุลประกอบไปด้วยหมู่เอทิลีน (C=C) การแห้งตัวแบบนี้แบ่งออกได้เป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
- การเกิดเปอร์ออกไซด์(peroxide)
- การสลายตัวให้ฟรีแรดดิเคิล(free radical)
- การเกิดพอลิเมอร์
- การหยุดการเกิดพอริเมอร์(termination)
แบบผสม การแห้งตัวแบบผสมเป็นการเกิดร่วมกันของการแห้งตัวแบบแทรกซึมและการแห้งตัวแบบการเกิดพอลิเมอร์โดยการเกิดออกซิไดส์ ซึ่งมักเกิดขึ้นกับหมึกพิมพ์ข้นเหนียวชนิดป้อนแผ่น
การเกิดพอลิเมอร์โดยใช้รังสีอัลตราไวโอเลต การแห้งตัวแบบนี้จะใช้รังสีอุลตราไวโอเลตช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างพอลิเมอร์
การไหลหมึกพิมพ์ข้นเหนียว
Posted by Ok-Workshop
Posted on 09:32
การไหล คือ การเปลี่ยนรูปร่างที่เกิดขึ้นอย่างถาวรเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเกิดการไหล อนุภาคของวัตถุจะเคลื่อนไหลผ่านไปบนกันและกัน โดยทั่วไปการวัดการไหลทำได้หลายวิธีแต่ที่นิยมใช้วัดการไหลของหมึกพ์ข้นเหนียว คือ การวัดอัตราการแพร่กระจาย หรือ DM ในการเลือกใช้หมึกที่มีการหลายต่างๆ กันสามารถเลือกได้จากค่าความชัน (Slope,S) จากกราฟความสัมพันธ์ระหว่างค่า DM กับลอการิทึมของเวลาเมื่อเทียบกับอุณหภูมิใดอุณหภูมิหนึ่ง ถ้าความชันมีความมากแสดงว่าหมึกมีการไหลที่ดีกว่าหมึกที่มีความชันน้อย ค่า DM จะแปรตามอุณหภูมิ ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นค่า DM จะสูงตาม
สมบัติอย่างหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กันการไหลของหมึกพิมพ์ข้นเหนียว คือ ความเหนียวหนืด เป็นแงยึดที่มีอยู่ในตัวของหมึกซึ่งบงบอกถึงความเหนียวหนืดของหมึก ความเหนียวหนืดมีความสัมพันธ์กับอัตราเร็วในการพิมพ์และอุณหภูมิ กล่าวคือ ถ้าอัตราเร็วในการพิมพ์เพิ่มขึ้น ค่าความเหนียวหนืดของหมึกพิมพ์จะเพิ่มขึ้น และถ้าอัตราเร็วในหมึกพิมพ์ลดลงค่าความเหนียวหนืดของหมึกพิมพ์จะลดลง โดยทั่วไปเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ความเหนียวหนืดของหมึกพิมพ์จะลดลงและการเปลี่ยนแปลงค่าความเหนียวหนืดจะมีความแตกต่างกันมากที่อุณหภูมิต่ำ
ความสัมพันธ์ระหว่างค่า DM กับ ลอการิทึมของเวลา |
ความสัมพันธ์ระหว่างค่า DM กับ อุณหภูมิ |
การผลิตหมึกพิมพ์ข้นเหนียว
Posted by Ok-Workshop
Posted on 08:01
หมึกพิมพ์ข้นเหนียวทั้งหมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์และหมึกพิมพ์ออฟเซตมีกระบวนการผลิตที่เหมือนกันตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
การผสมก่อนบด
การผสมก่อนบดเป็นขั้นตอนในการนำผงสีทั้งหมด บางส่วนของวานิช สารเติมแต่ง และตัวทำละลายมาผสมกันในภาชนะโลหะโยใช้เครื่องผสมที่มีความเร็วสูงเพื่อให้อนุภาคของผงสีมีขนาดเล็กลงและน้อยลงและทำให้ถูกเป๊ยกด้วยวานิช วานิชมีลักษณะเป็นของเหลวเตรียมได้โยนำเรซิ่นมาทำปฏิกริยาหรือละลายกับน้ำมันและตัวทำละลาย
ผงสีโดยทั่วไปถ้าพิจารณาจากอนุภาค สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ
อนุภาคเดี่ยว(primary particle)
เป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กสุดและมีพันธะเคมีที่มีความแข็งแรงมาก ผงสีอนุภาคเดี่ยวมีรูปร่างโมเลกุลเป็น 3 แบบ คือ อสัณฐานหรือไม่เป็นผลึก (amorphous) สเฟียริเคิลหรือทรงกลม(sherical) และเป็นผลึก (crystalline)
อนุภาคปานกลาง (aggregat)
อนุภาคที่มีขนาดปานกลางเกิดจากการรวมตัวของอนุภาคเดี่ยว โดยการยึดติดกันด้วยพันธะเคมีระหว่างพื้นผิวของอนุภาคเดี่ยว ซึ่งพันธะเคมีที่ยึดติดกันนี้มีความแข็งแรงมากเช่นกัน
อนุภาคใหญ่ (agglomerate)
อนุภาคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งเกิดจากพันธะอย่างอ่อนระหว่างโมเลกุลของอนุภาคปานกลาง
การบด
การบดเป็นขั้นตอนที่ทำให้โมเลกุลของผงสีมีขนาดเล็กจนเป็นอนุภาคเดี่ยวซึ่งมีขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน ซึ่งได้รับการทำให้เปียกและกระจายตัวในวานิชโดยใช้เครื่องบด เครื่องบดที่นิยมใช้สำหรับหมึกพิมพ์ข้นเหนียวมีอยู่ 2 ชนิด คือ เครื่องบดชนิดลูกกลิ้ง 3 ลูก (three roll mill ) และเครื่องบดชนิดชอต (shot mill)
การผสมก่อนบด
การผสมก่อนบดเป็นขั้นตอนในการนำผงสีทั้งหมด บางส่วนของวานิช สารเติมแต่ง และตัวทำละลายมาผสมกันในภาชนะโลหะโยใช้เครื่องผสมที่มีความเร็วสูงเพื่อให้อนุภาคของผงสีมีขนาดเล็กลงและน้อยลงและทำให้ถูกเป๊ยกด้วยวานิช วานิชมีลักษณะเป็นของเหลวเตรียมได้โยนำเรซิ่นมาทำปฏิกริยาหรือละลายกับน้ำมันและตัวทำละลาย
ผงสีโดยทั่วไปถ้าพิจารณาจากอนุภาค สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ
อนุภาคเดี่ยว(primary particle)
เป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กสุดและมีพันธะเคมีที่มีความแข็งแรงมาก ผงสีอนุภาคเดี่ยวมีรูปร่างโมเลกุลเป็น 3 แบบ คือ อสัณฐานหรือไม่เป็นผลึก (amorphous) สเฟียริเคิลหรือทรงกลม(sherical) และเป็นผลึก (crystalline)
อนุภาคปานกลาง (aggregat)
อนุภาคที่มีขนาดปานกลางเกิดจากการรวมตัวของอนุภาคเดี่ยว โดยการยึดติดกันด้วยพันธะเคมีระหว่างพื้นผิวของอนุภาคเดี่ยว ซึ่งพันธะเคมีที่ยึดติดกันนี้มีความแข็งแรงมากเช่นกัน
อนุภาคใหญ่ (agglomerate)
อนุภาคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งเกิดจากพันธะอย่างอ่อนระหว่างโมเลกุลของอนุภาคปานกลาง
การบด
การบดเป็นขั้นตอนที่ทำให้โมเลกุลของผงสีมีขนาดเล็กจนเป็นอนุภาคเดี่ยวซึ่งมีขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน ซึ่งได้รับการทำให้เปียกและกระจายตัวในวานิชโดยใช้เครื่องบด เครื่องบดที่นิยมใช้สำหรับหมึกพิมพ์ข้นเหนียวมีอยู่ 2 ชนิด คือ เครื่องบดชนิดลูกกลิ้ง 3 ลูก (three roll mill ) และเครื่องบดชนิดชอต (shot mill)
การผสมสี
ในขั้นตอนนี้จะมีการเติมส่วนที่เหลือให้ครบสูตรและมีการเติมแต่งระดับคล้ำสีให้ได้ตามต้องการ ดดยการเติมผงสีหรือแม่สีลงไปในเครื่องบดชนิดลูกกลิ้ง 3 ลูกโดยตรง ซึ่งเหมาะกับการทำหมึกพิมพ์ข้นเหนียวในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนการทำหมึกในปริมาณที่มาก มักนิยมผสมสีในภาชนะโลหะโดยใช้เครื่องผสมที่มีความสูง
การตรวจสอบคุณภาพ
หลังจากผสมสีให้ได้ระดับคล้ำสีตามที่ต้องการแล้วก่อนบรรจุภาชนะจะต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของหมึกให้ได้ตามมาตารฐานตามที่ต้องการเสียก่อน ซึ่งรายละเอียดในเรื่องการควบคุมคุณภาพจะได้กล่าวต่อไป
การกรอง
หลังจากตรวจสอบคุณภาพแล้วจะบรรจุจะต้อวเอาสิ่งสกปรกหรือฝุ่นออกเสียก่อนโดยถุงกรองชนิดพิเศษ ซึ่งจะทำการกรองเฉพาะการบดด้วยเครื่องบดหมึกชนิดชอตและต้องเป็นหมึกเหลวพอสมควร
การบรรจุภาชนะ
ภาชนะที่บรรจุมีหลายชนิด คือ 1 2 5 16 20 และ180 กิโลกรัม
ประเภทของหมึกพิมพ์ข้นเหนียว
Posted by Ok-Workshop
Posted on 08:14
หมึกพิมพ์หมึกข้นเหนียวมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท แต่ในที่นี้จะกล่าวถึง 2 ประเภทที่รู้จักกันดี คือ หมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์ และหมึกพิมพ์ออฟเซตลิโธกราฟีหรือหมึกพิมพ์ออฟเซต
หมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์
หมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์เป็นหมึกพิมพ์ที่ใช้กับระบบการพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์ ซึ่งเป็นงานพิมพ์ที่มีหลักการ คือ เริ่มด้วยการจ่ายหมึกให้กับผิวส่วนที่เป็นภาพของแม่พิมพ์ (แม่พิมพ์เป็นแบบพื้นนูน) จากนั้นป้อนแผ่นกระดาษที่วางอยู่บนแม่พิมพ์ มีแรงกดช่วยให้หมึกพิมพ์สามารถถ่ายทอดไปยังกระดาษนั้นให้ติดแน่นได้ หลักการคล้ายกับการพิมพ์ระบบเฟล็กโซกราฟีซึ่งมีแม่พิมพ์เป็นแบบพื้นนูนเช่นเดียวกัน แต่หมึกที่ใช้ของระบบการพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์จะเป็นหมึกพิมพ์ข้นเหนียว ไม่ใช่หมึกพิมพ์เหลวเหมือนระบบการพิมพ์เฟล็กโซกราฟี
หมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์
หมึกพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์เป็นหมึกพิมพ์ที่ใช้กับระบบการพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์ ซึ่งเป็นงานพิมพ์ที่มีหลักการ คือ เริ่มด้วยการจ่ายหมึกให้กับผิวส่วนที่เป็นภาพของแม่พิมพ์ (แม่พิมพ์เป็นแบบพื้นนูน) จากนั้นป้อนแผ่นกระดาษที่วางอยู่บนแม่พิมพ์ มีแรงกดช่วยให้หมึกพิมพ์สามารถถ่ายทอดไปยังกระดาษนั้นให้ติดแน่นได้ หลักการคล้ายกับการพิมพ์ระบบเฟล็กโซกราฟีซึ่งมีแม่พิมพ์เป็นแบบพื้นนูนเช่นเดียวกัน แต่หมึกที่ใช้ของระบบการพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์จะเป็นหมึกพิมพ์ข้นเหนียว ไม่ใช่หมึกพิมพ์เหลวเหมือนระบบการพิมพ์เฟล็กโซกราฟี
หลักการของระบบการพิมพ์เลตเตอร์เพรสส์
หมึกพิมพ์ออฟเซตลิโธกราฟี
หมึกพิมพ์ออฟเซตลิโธกราฟีหรือเรียกสั้นๆว่า หมึกพิมพ์ออฟเซต หรือในต่างประเทศนิยมเรียกว่า หมึกลิโธกราฟี เป้นหมึกพิมพ์ที่ใช้กับระบบการพิมพ์ออฟเซตซึ่งเป็นระบบที่มีหลักการ คือ หมึกจะถ่ายทอดจากรางหมึกไปยังแม่พิมพ์ และจากแม่พิมพ์จะถ่ายทอดไปยังวัสดุที่ใช้พิมพ์ โดยผ่านผ้ายาง(Blanket) แม่พิมพ์ที่ใช้เป็นแบบพื้นราบ (planographic) แม่พิมพ์จะเคลือบด้วยสารเคมีซึ่งทำให้เกิดเป็นบริเวณภาพและบริเวณไร้ภาพได้ โดยบริเวณไร้ภาพหรือบริเวณที่ไม่ต้องการพิมพ์จะรับน้ำจากรางน้ำและไม่รับหมึกทำให้ไม้เกิดภาพพิมพ์ขึ้นเกิด
หลักการของระบบการพิมพ์ออฟเซต
การไหลของหมึกพิมพ์เหลว
Posted by Ok-Workshop
Posted on 08:36
คุณสมบัติที่สำคัญมากของหมึกพิมพ์เหลว คือ คุณสมบัติด้านการไหล การไหลที่มีผลดีโดยตรงต่อคุณภาพงานพิมพ์แต่ละระบบ การไหลของหมึกพิมพ์เหลวใช้วัดโยอ้อมจากความหนืดซึ่งวัดจากถ้วนตวงมาตราฐาน เช่น ซาห์นคัพ ฟอร์ดคัพ หรืออาจวัดจากเครื่องมือวัดความหนืดแบบโรเทชันนัล การไหลและความหนืดมีความสัมพันธ์กันแบบสมการผกผัน กล่าวคือ หมึกที่มีการไหลที่ดี จะมีความหนือต่ำ ส่วนหมึกพิมพ์ที่มีการไหลไม่ดีจะมีความหนืดสูง ความหนืดของหมึกพิมพ์เำหลวจะเหลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กันองค์ประกอบของหมึกพิมพ์ที่เลือกใช้โดยเฉพาะผงสี เรซิ่น ตัวทำละลายและสารเติมแต่ง
อิทธิพลขององค์ประกอบที่มีผลต่อการไหล
หมึกพิมพ์จะมีการไหลดีหรือไม่นั้นจะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของหมึกพิมพ์ที่ใช้ ได้แก ผงสี เรซิ่น ตัวทำละลายและสารเติมแต่ง
อิทธิพลขององค์ประกอบที่มีผลต่อการไหล
หมึกพิมพ์จะมีการไหลดีหรือไม่นั้นจะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของหมึกพิมพ์ที่ใช้ ได้แก ผงสี เรซิ่น ตัวทำละลายและสารเติมแต่ง
- ผงสี ผงสีที่ใช้ในการผลิตหมึกพิมพ์มี 2 ชนด คือ ผงสีอินทรีและผงสีอนินทรี ผงสีทั้ง 2 ชนิดนี้มีคุณสมบัติการดูดซึมน้ำมันแตกต่างกัน โดยผงสีที่มีคุณสมบัติการดูดซึมน้ำมันสูง เมื่อนำมาผลิตหมึกพิมพ์จะได้หมึกพิมพ์ที่มีการไหลไม่ดีหรือมีความหนืดสูง โดยปกติผงสีอินทรีย์ให้ค่าการดูดซึมน้ำมันสูงกว่าผงสีอนินทรีย์มาก แต่ผงสีอินทรีย์ในCIเดียวกันที่ผลิตจากบริษัทผู้ผลิตแต่ละบริษัทก็ให้ค่าการดูดซึมน้ำมันที่แตกต่างกัน
- เรซิ่น ผู้ผลิตหมึกควรเลือใช้เรซิ่นที่มีค่าการไหลที่ดีไม่ว่าจะอยู่ในอุณภูมิที่แตกต่างกันเพียงใด เรซิ่นบางตัวในอุณภูมิต่ำ เรซิ่นประเภทนี้ได้แก่ พอลิเอไมด์ วิธีการป้องกัน คือ การหลีกเลี่ยงที่จะใช้เรซินเหล่านี้
- ตัวทำละลาย ตัวทำละลายแต่ละชนิดมีความสามารถในการละลายเรซิ่นที่แตกต่างกัน ตัวทำละลายใดที่เป็นตัวทำลัลายหลักของเรซิ่นตัวที่เลือกใช้จะให้ค่าการไหลที่ดี แต่ตัวทำละลายที่ดีนั้นอาจมีอัตราการระเหยเร็ว ซึ่งมีผลทำให้การไหลลดลง จึงต้องมีตัวทำละลายอื่นผสม ดังนั้นในสูตรหมึกพิมพ์แต่ละสูตรที่มีเรซิ่นเป็นองค์ประกอบมากกว่าหนึ่งชนิดจึงมักจะมีตัวทำละลายหลายชนิดเพื่อรักษาสมบัติการไหลให้ดีที่สุด
- สารเติมแต่ง สารเติมแต่งมีผลต่อการไหลของหมึกพิมพ์หลายชนิด เช่น ทำให้ผงสีกระจายตัวในวานิชได้ดี หมึกพิมพ์มีการไหลดี ช่วยเพิ่มความหนืดของหมึกพิมพ์ที่ผลิตได้ต่ำกว่ามาตราฐาน
คุณภาพของงานพิมพ์ที่พิมพ์จากหมึกพิมพ์เหลวไม่ว่าจะเป็นเฟล็กโซกราฟีหรือกราวัวร์ มีผลโดยตรงจากสมบัติการไหลของหมึกพิมพ์เหลว หมึกพิมพ์ที่มีการไหลจะช่วยให้สภาพพิมพ์ได้ (printabillity) ดี กล่าวคือ เมื่อบริเวณที่เป็นพื้นตาย งานพิมพ์จะเรียบเนียน ไม่เป็นร้อยด่าง เป็นจ้ำหรือเป็นดวง หรือเมื่อบริเวณที่เปฯสกรีนหรือฮาล์ฟโทน การถ่ายโอนภาพที่ได้สวยเต็มทุกเม็ดสกรีน
แม่พิมพ์เฟล็กโซกราฟี
Posted by Ok-Workshop
Posted on 09:11
ประวัติความเป็นมาของแม่พิมพ์เฟล็กโซกราฟี กล่าวว่าในปี พ.ศ.2313 หรือ ค.ศ.1770 มีนักเคมีชาวอังกฤษ
ชื่อว่า โจเซฟ เพรสเลย์ (Joseph Presley) ค้นพบว่าลาเทกซ์หรือน้ำยางที่แข็งตัวด้วยความร้อนนั้นสามารถนำมาลบรอยดินสอได้ เขาจึงตั้งชื่อว่า ยางลบ (rubber)
อีก 69 ปีต่อมา คือ ในปี พ.ศ. 2382 หรือ ค.ศ. 1893 นายชาร์ลส กูดเยียร์ (Charles Goodyear) ได้คิดค้นวิธีที่จะทำให้ยางดิบแข็งขึ้น และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น โดยได้ทำการทดลองผสมยางดิบกับกำมะถันหรือซัลเฟอร์ และหยดลงบนเตาในครัว และเฝ้าดูปฏิกริยาการแข็งตัวที่เกิดขึ้นของยาง เขาพบว่ายางที่ได้แข็งขึ้น เขาเรียกปฏิกิริยานี้ว่า วัลคาโนเซชัน(Vulcanization) หลังจากการค้นพบนี้ก็ได้เกิดเป็นอุตสาหกรรมการทำยางขึ้น
แผ่นกระดาษลูกฟูกหน้าเดียว
Posted by Ok-Workshop
Posted on 20:57
แผ่นกระดาษลูกฟูกหน้าเดียว
แผ่นกระดาษลูกฟูกหน้าเดียว (single faced) หมายถึง แผ่นกระดาษลูกฟูกซึ่งประกอบด้วยกระดาษลูกฟูก 1 แผ่น ซึ่งปิดทับด้านเดียวด้วยกระผิวกล่อง ผลิตขึ้นเพื่อห่อของที่แตกง่าย เช่น หลอดไฟ และเครื่องแก้ว ก่อนนำของหรือสินค้าเหล่านี้ไปบรรจุในกล่อง อาจผลิตออกมาเป็นม้วนหรือเป็นแผ่นกระดาษก็ได้ ขนาดของลอนลูกฟูกที่ใช้อาจเป็นแบบ A B C หรือ E ก็ได้ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ที่ใช้งาน
โครงสร้างของแผ่นกระดาษลูกฟูก
Posted by Ok-Workshop
Posted on 09:35
แผ่นกระดาษลูกฟูกมีลักษณะโครงสร้างพื้นฐานประกอบด้วยชั้นของกระดาษหลายๆชั้นนำมาประกอบติดเป็นแผ่นด้วยกาวหรือสารยึดติด แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นผิวนอกหรือผิวหน้า 2 ส่วน ซึ่งทำจากกระดาษผิวกล่อง (Linerboard) และส่วนชั้นกลางภายในซึ่งเป็นกระดาษลูกฟูก (Corrugated Medium หรือ flute Medium) ซึ่งทำจากกระดาษทำลูกฟูก (corrugating medium) เรียกแผ่นกระดาษลูกฟูกที่มีกระดาษผิวกล่องปีดทับทั้ง2ด้าน ว่า
แผ่นกระดาษลูกฟูก 2 หน้า (double faced) แผ่นกระดาษลูกฟูกอาจจะประกอบไปด้วยชั้นของกระดาษ อย่างน้อยที่สูด 2 ชั้นประกบติดกันก็ได้ คือ ประกอบด้วยชั้นของกระดาษผิวกล่องกับกระดาษทำลูกฟูกด้านเดียว หรือที่เรียกว่า แผ่นกระดาษลูกฟูกหน้าเดียว (single faced)
แผ่นกระดาษลูกฟูก
Posted by Ok-Workshop
Posted on 08:29
อุตสาหกรรมกระดาษได้มีการผลิตกระดาษชนิดต่างๆ ขึ้นมามากมายหลายชนิด เพื่อตอบสนองการใช้งานในด้านต่างๆแผ่นกระดาษลูกฟูกนับได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์กระดาษชนิดหนึ่งที่มีปริมาณการผลิตสูงที่สุด เพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในงานต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ซึ่งได้ใช้แผ่นกระดาษลูกฟูกเป็นวัตถุดิบในการทำกล่องกระดาษลูกฟูก เพื่อใช้บรรจุ และขนส่งสินค้าต่างๆ เช่น สินค้าเพื่อการบริโภค สินค้าทางการเกษตร เสื้อผ้า ของเล่น และสารเคมีต่างๆ
การทำกระดาษลูกฟูกได้มีการจดสิทธิบัตรครั้งแรกในปี พ.ศ. 2414 ในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยนาย โจนส์(Albert L. Jones) เพื่อใช้ห่อสินค้า เช่น พวกขวดแก้วเล็กๆ ซึ่งสิทธิบัตรนี้ควบคลุมเฉพาะกระดาษลูกฟูกซึ่งใม่มีผิวนอกปิดทับ ในปี พ.ศ. 2417 นายลอง (Oliver Long) ได้จดสิทธิบัตรกระดาษลูกฟูกซึ่งมีกระดาษผิวนอกปิดทับเพื่อใช้สำหรับห่อขวดและขวดโหลต่างๆ ต่อมาได้มีการใช้กระดาษลูกฟูกเพื่อใช้ห่อของกันอย่างแพร่หลายและมีการผลิตแผ่นกระดาษลูกฟูกในเชิงอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นวัตถุดิบในการทำกล่องกระดาษลูกฟูกเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2437 โดยนายทอมสัน (Robert H. Thomson) และนายนอร์ริส(Henny D. Norris) สำหรับบรรจุและขนส่งสินค้าพอกตะเกียงและโคมไฟ
การทำกระดาษลูกฟูกได้มีการจดสิทธิบัตรครั้งแรกในปี พ.ศ. 2414 ในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยนาย โจนส์(Albert L. Jones) เพื่อใช้ห่อสินค้า เช่น พวกขวดแก้วเล็กๆ ซึ่งสิทธิบัตรนี้ควบคลุมเฉพาะกระดาษลูกฟูกซึ่งใม่มีผิวนอกปิดทับ ในปี พ.ศ. 2417 นายลอง (Oliver Long) ได้จดสิทธิบัตรกระดาษลูกฟูกซึ่งมีกระดาษผิวนอกปิดทับเพื่อใช้สำหรับห่อขวดและขวดโหลต่างๆ ต่อมาได้มีการใช้กระดาษลูกฟูกเพื่อใช้ห่อของกันอย่างแพร่หลายและมีการผลิตแผ่นกระดาษลูกฟูกในเชิงอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นวัตถุดิบในการทำกล่องกระดาษลูกฟูกเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2437 โดยนายทอมสัน (Robert H. Thomson) และนายนอร์ริส(Henny D. Norris) สำหรับบรรจุและขนส่งสินค้าพอกตะเกียงและโคมไฟ
แผ่นกระดาษลูกฟูกที่นำไปใช้ขึ้นรูปกล่องจะต้องผ่านขั้นตอนการพิมพ์เพื่อระบุรายละเอียดที่เกี่ยวกับตัวสินค้าปริมาณบรรจุ ตลอดจนรูปภาพสินค้าต่างๆ เพื่อทำให้กล่องกระดาษมีความสวยงาม ดึงดูดผู้พบเห็น ปริมาณการใช้กล่องกระดาลูกฟูกมีอัตราการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี ดังนั้นปริมาณการใช้แผ่นกระดาษลูกฟูกจึงเพิ่มมากขึ้นตาม ในปัจจุบันแผ่นกระดาษลูกฟูกนับได้ว่าเป็นวัสดทางการพิมพ์ที่สำคัญชนิดหนึ่ง ซึ่งผู้เกี่ยวข้องในวงการพิมพ์ได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
การผลิตเยื่อกระดาษ
Posted by Ok-Workshop
Posted on 01:12
การผลิตเยื่อกระดาษ
วัตถุประสงค์ของการผลิตเยื่อก็เพื่อต้องการแยกเส้นใยออกจากองค์ประกอบอื่นของไม้ การผลิตเยื่อสามารถทำได้หลายวิธีทั้งโดยวิธีทางเคมีและเชิงกล เยื่อที่ได้จะนำมาผ่านการฟอกขาว สำหรับทำกระดาษที่ใช้เพื่อการสือสารต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าขั้นตอนนี้จะต้องประกอบด้วย กรรมวิธีการผลิตเยื่อ (Pulping Process) และการฟอกเยื่อ(Bleaching)
กระบวนการผลิตกระดาษในอุตสาหกรรม
Posted by Ok-Workshop
Posted on 00:50
กระบวนการผลิตกระดาษในอุตสาหกรรม
กระดาษเป็นแผ่นวสดุที่ได้มาจากการผสมของเส้นใยและสารเติมแต่งต่างๆ การทำกระดาษจะเริ่มตั้งแต่การนำไม้ไปทำเป็นเยื่อเพื่อให้ได้เส้นใยออกมา แล้วจึงนำเยื่อไปผสมกับสารเติมแต่งในอัตราส่วนต่างๆกัน เพื่อคุณสมบัติของกระดาษให้ได้ตามความต้องการใช้งาน แล้วจึงนำไปผลิตกระดาษโดยใช้เครื่องจักรผลิตกระดาษแล้วจึงนำมาแปรรูปใช้งาน จะเห็นได้ว่ากว่าจะได้มาเป็นแผ่นกระดาษที่ใช้งานได้นั้น จำเป็นจะต้องผ่านกระบวนการผลิตมากมาย ถึง5 ขั้นตอนด้วยกัน โดยจะเรียงลำดับตามขั้นตอนการปฏิบัติงานจริงภายในโรงงานดังนี้
- การผลิตเยื่อ(Pulping)
- การเตรียมน้ำเยื่อ (Stock Preparation)
- การทำแผ่นกระดาษ (Papermaking)
- การปรับปรังคุณสมบัติกระดาษขณะเดินแผ่น(Web modification)
- การแปรรูป(converting)