Custom Search
Latest Article Get our latest posts by subscribing this site

ปัญหาจากการทำแม่พิมพ์ออฟเซตแห้ง

2. ปัญหาด้านมลพิษจากการทำแม่พิมพ์ออฟเซตแห้ง
  การทำแม่พิมพ์ออฟเซตแห้งจะสร้างปัญหามลพิษ เช่นเดียวกับการทำแม่พิมพ์สำหรับระบบการพิมพ์อื่นหากไม่ควบคุมหรือบำบัดสารที่เหลือจากกระบวนการทำแม่พิมพ์ โดยปัญหามลพิษจากการทำแม่พิมพ์โลหะจะมีมากกว่าการทำแม่พิมพ์พอลิเมอร์ ดังนี้
  2.1 ปัญหาด้านมลพิษจากการทำแม่พิมพ์โลหะ การทำแม่พิมพ์โลหะ ซึ่งสร้างภาพจากการกัดด้วยกรด จะสร้างปัญหาด้านมลพิษมากน้อยต่างกันตามชนิดของโลหะที่ใช้ โดยเฉพาะการกัดชั้นโครเมียม จะสร้างมลพิษมากที่สุด เนื่องจากโครเมียมเป็นโลหะหนัก และไม่สลายตัวตามธรรมชาติ หากสะสมในร่างกายมากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ได้รับสารนั้น ปัญหาต่างๆได้แก่
  1) ปัญหาไอระเหยจากการกัดด้วยกรด ไอระเหยดังกล่าวมีทั้งไอระเหยจากกรดเกลือที่ใช้เอง และไอระเหยจากการทำปฏิกิริยาระหว่างกรดกับโลหะ คือ ไฮโดรเจน ซึ่งถ้ามีในปริมาณที่มากเกินไปในห้องปฏิบัติงานและผู้ปฏิบัติงานได้รับสารในปริมาณที่มาก ก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
  วิธีการแก้ไขปัญหานี้ ทำได้โดยให้ไอระเหยผ่านน้ำ ส่วนที่เป็นกรดเกลือสามารถนำกลับไปใช้ได้ แต่ไฮโดรเจนต้องปล่อยให้กระจายไปในอวกาศที่โล่งแจ้ง
  2) ปัญหาของเหลวจากการกัดด้วยกรด ของเหลวที่เหลือจากการทำปฏิกิริยาระหว่างการกัดโลหะด้วยกรด จะประกอบด้วยโลหะในรูปสารละลายและยังมีฤทธิ์เป็นกรด
  วิธีการแก้ไขปัญหานี้ ทำโดยทำให้ของเหลวมีสภาพที่เป็นกลางก่อนด้วยด่างที่เหมาะสมเพื่อให้ส่วนของโลหะที่ถูกกัดด้วยกรด และอยู่ในรูปของสารละลายเปลี่ยนสภาพเป็นสารประกอบซึ่งมีน้ำหนักมากขึ้น และตกตะกอน โดยเฉพาะสารประกอบของโครเมียม จากนั้นจึงกรองตะกอนนี้ออกด้วยฟิลเตอร์( filter press ) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ใช้กรองหลายชั้น ส่วนที่กรองทำจากวัสดุประเภทผ้าและกระดาษ การกรองจะใช้แรงอัด เมื่อกรองตะกอนออกแล้วค่อยนำไปฝังในที่ปลอดภัย
  สำหรับการทำแม่พิมพ์จากการกัดชั้นทองแดง จะสร้างปัญหาด้านมลพิษน้อยที่สุดในกลุ่มของการทำแม่พิมพ์โลหะ อย่างไรก็ดี การบำบัดน้ำจากกระบวนการก่อนทิ้งสู่ภายนอก ต้องกระทำด้วย ซึ่งหากใช้เครื่องกัดด้วยกรดแบบอัตโนมัติที่มีระบบหมุนเวียน การใช้กรดที่ใช้จากเฟอร์ริกคลอไรด์ผสมน้ำจะมีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากน้ำยายังคงหมุนเวียนในเครื่องตลอดเวลา เมื่อใช้นานครั้งน้ำยาจะเริ่มข้น และหน่วงปฏิกิริยาการกัดทองแดง แต่ก็แก้ไขได้โดยเติมน้ำยาเจือจางลงลงและใช้ได้เช่นเดิมจนถึงระยะเวลาหนึ่งที่การกัดทองแดงต้องใช้เวลานานมากแม้จะเพิ่มอุณหภูมิจนสูงสุด และลดความเร็วในการกัดให้ต่ำสุดแล้วก็ตาม นั่นแสดงว่าถึงเวลาที่ต้องถ่ายน้ำยาทิ้งทั้งนี้ระหว่างขั้นตอนดังกล่าวจะสกัดทองแดงที่สะสมในน้ำยา ให้ไปจับที่ขั้วไฟฟ้าคาโทดและกรองน้ำยาทิ้งทั้งนี้ระหว่างขั้นตอนดังกล่าวจะสกัดทองแดงที่สะสมในน้ำยา ให้ไปจับที่ขั้วไฟฟ้าคาโทดและกรองน้ำยากลับมาใช้ได้บางส่วน ส่วนทองแดงสามารถนำกลับไปใช้ประโยชน์ต่อได้ กรณีไม่ใช้เครื่องอัตโนมัติเนื่องจากปริมาณการใช้น้อย ไม่คุ้มค่าการลงทุน ก็สามารถบำบัดน้ำทิ้งจากการล้างสร้างภาพซึ่งเป็นด่างผสมกับน้ำทิ้งจากการกัดทองแดงซึ่งเป็นกรดแล้วเติมด่างเพิ่มเติมจนสารละลายเป็นกลาง จากนั้นทิ้งให้ส่วนที่เป็นของแข็งตกตะกอนและกรองออกด้วยฟิลเตอร์เพรสส์ เพื่อไปฝังในที่ที่เหมาะสมเช่นเดียวกับการฝังการจากอุตสาหกรรมเคมี
2.2 ปัญหาด้านมลพิษจากการทำแม่พิมพ์พอลิเมอร์ การทำแม่พิมพ์พอลิเมอร์ชนิดล้างสร้างภาพด้วยแอลกอฮอล์ มีอันตรายต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานมากกว่าชนิดล้างสร้างภาพด้วยน้ำ อีกทั้งน้ำทิ้งจากกระบวนการต้องบำบัดก่อนทิ้งลงท่อระบายน้ำสาธารณะ ในขณะที่น้ำทิ้งจากการล้างสร้างภาพด้วยน้ำจะมีสารที่ไม่ตกตะกอนเป็นของแข็งและสามารถย่อยสลายได้ด้วยกระบวนการทางชีวภาพตามธรรมชาติ ไม่มีโลหะหนักซึ่งอาจมาจากพอลิเมอร์ที่ใช้โลหะเป็นฐานและสารปะปนอื่นที่ไม่สามารถย่อยสลายได้

ปัญหาจากการทำแม่พิมพ์ออฟเซตแห้ง

1. ปัญหาด้านสมบัติของวัสดุที่ใช้
  วัสดุสำหรับทำแม่พิมพ์ออฟเซฟแห้ง มีสมบัติแตกต่างชนิดของแม่พิมพ์ คือ แม่พิมพ์โลหะ และ แม่พิมพ์พอลิเมอร์ ดังนั้น การคัด  ปัญหาจากการทำแม่พิมพ์ออฟเซตแห้ง อาจแบ่งได้เป็นสองส่วน คือ ปัญหาด้านสมบัติของวัสดุที่ใช้ และปัญหาเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมสำหรับการทำแม่พิมพ์แต่ละชนิดจึงเป็นสิ่งจำเป็น มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาต่อการทำแม่พิมพ์ หรือเมื่อนำไปใช้งานด้วย ปัญหาด้านสมบัติของวัสดุที่ใช้ แบ่งตามชนิดของแม่พิมพ์ออฟเซตแห้งได้ ดังนี้
1.1 ปัญหาด้านสมบัติของวัสดุสำหรับทำแม่พิมพ์โลหะ วัสดุหลักสำหรับใช้ทำแม่พิมพ์โลหะ ได้แก่ โลหะที่ใช้ทำแผ่นแม่พิมพ์ และเยื่อไวแสง สำหรับปัญหาของวัสดุที่ใช้ทำแม่พิมพ์ทั้งสอง มีดังนี้
  ปัญหาของโลหะที่ใช้ทำแผ่นแม่พิมพ์ เนื้อของโลหะอาจสร้างปัญหาให้การกัดด้วยกรดเป็นไปอย่างไม่ถูกต้องได้ เช่น หากมีรูพรุนของฟองอวกาศ หรือส่วนผสมของสารอื่นแปลกปลอมในเนื้อโลหะก็ทำให้การกัดด้วยกรดบริเวณนั้นต่างไปจากที่ทดสอบไว้เดิม
  ปัญหาของเยื่อไวแสง เยื่อไวแสงที่ทำจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ได้แก่ กาวปลา กัมอะราบิกจากยางต้นไม้ส่วนเยื่อไวแสงที่สังเคราะห์ขึ้น ได้แก่ พอลิไวนิลแอลกฮอล์ และโฟโตรซิส ซึ่งทำให้ไวแสงด้วยโพแทสเซียสไบโครเมตหรือโซเดียมไบโครเมต แต่สมบัติของเยื่อแสงที่ทำจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาตินั้นขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศจึงไม่สามารถควบคุมภาพให้สม่ำเสมอได้เท่าเยื่อไวแสงสังเคราะห์ เป็นผลให้ชั้นของเยื่อไวแสงที่ใช้เคลือบไม่เรียบเสมอกันทั่วทั้งแผ่นหรือเคลือบไม่ติดในบางบริเวณ และกันกรดโลหะได้ไม่เท่ากันในแต่ละครั้ง อีกทั้งการเตรียมเยื่อไวแสงเพื่อไวแสงเพื่อใช้งานก็มีขั้นตอนยุ่งยากกว่า และต้องรีบใช้ทันที หรือเก็บไว้ใช้ได้ไม่นาน แม้จะผสมสารกันบูดแล้วก็ตาม
1.2 ปัญหาด้านสมบัติของวัสดุสำหรับทำแม่พิมพ์พอลิเมอร์ แผ่นพอลิเมอร์ไวแสง เป็นแผ่นแม่พิมพ์สำเร็จใช้ทำแม่พิมพ์พอลิเมอร์ได้ทันที จึงสะดวกต่อการใช้งานมากกว่า อย่างไรก็ตามชนิดของวัสดุที่ใช้ผลิตแผ่นพอลิเมอร์ไวแสงยังมีปัญหาเช่นกัน ดังนี้
  ปัญหาของชั้นพอลิเมอร์ ความทนทานของชั้นพอลิเมอร์ต่อการขัดสีระหว่างใช้งาน ในปัจจุบันเทียบกับแม่พิมพ์โลหะไม่ได้ กล่าวคือ อายุการใช้งานแม่พิมพ์อยู่ประมาณ 4-6 ล้านครั้งพิมพ์  ขณะที่แม่พิมพ์โลหะใช้ได้ตลอดไปตราบเท่าที่ไม่มีการชำรุดเสียหายก่อนด้วยการชุบชั้นโครเมียมใหม่ นอกจากนี้ชนิดของพอลิเมอร์ก็มีความทนทานต่างกัน พอลิเมอร์ชนิดล้างสร้างภาพด้วยแอลกอฮอล์จะใช้พิมพ์ได้จำนวนครั้งพิมพ์มากกว่าชนิดล้างสร้างภาพด้วยน้ำ แต่มีการพัฒนาให้ชนิดใช้น้ำมีความทนทานเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ และใกล้เคียงใช้แอลกอฮอล์มากแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งซึ่งมีผลต่อความทนทานของแม่พิมพ์พอลิเมอร์ คือ สารละลายสำหรับทำความสะอาดแม่พิมพ์ และสารละลายที่ใช้ระหว่างพิมพ์งานอาจทำให้ชั้นสารพอลิเมอร์อ่อนตัว เป็นเหตุให้เกิดการชำรุดได้เมื่อถูกของแข็งหรือมีคม และการซ่อมแซมส่วนที่เสียหายนี้ก็ทำไม่ได้ แต่สำหรับแม่พิมพ์โลหะหากเกิดการชำรุดไม่มากนัก อาจซ่อมแซมได้
  ปัญหาของวัสดุที่ใช้ทำฐานแม่พิมพ์ ปัญหาที่ต้องคำนึงถึงในกรณีใช้แม่พิมพ์พอลิเมอร์ในการพิมพ์งานมากกว่าหนึ่งสี คือ หากใช้แม่พิมพ์ฐานพอลิเอสเทอร์ หรือ พอลิเอสเทอร์ฟอยล์ การยึดหดตัวของแม่พิมพ์จะมีมากกว่าดังนั้นโอกาสที่จะเกิดการพิมพ์เหลื่อมระหว่างสี ย่อมมีมากด้วย แม่พิมพ์ฐานเหล็กหรืออะลูมิเนียมจึงเหมาะสมกว่า เพราะมีการยึดหดตัวน้อยกว่า และไม่ก่อให้เกิดปัญหาเท่า แต่ปัญหาที่ต้องระมัดระวังในการใช้ฐานเหล็ก และอะลูมิเนียม คือ การเกิดออกไซด์หรือสนิม ซึ่งผู้ผลิตแผ่นพอลิเมอร์ไวแสงก็แก้ปัญหานี้ด้วยการใช้โลหะผสมกันการเกิดสนิมได้
  ปัญหาของชั้นสารยึดติด ชั้นสารยึดติดที่ใช้ยึดชั้นสารพอลิเมอร์ให้ติดกับฐานโลหะซึ่งเป็นวัสดุต่างชนิดกันอาจหลุดได้เมื่อถูกสารละลายบางชนิดที่ใช้ในเครื่องพิมพ์ จึงต้องตรวจสอบกับผู้ผลิตให้แน่นอนในการเลือกใช้สารละลายที่เหมาะสม โดยไม่ทำปฎิกิริยากับสารที่ใช้ทำสารยึดติด
  ปัญหาของน้ำยาล้างสร้างภาพ กรณีที่ใช้เอทิลแอลกอฮอล์ล้างสร้างภาพบนแม่พิมพ์พอลิเมอร์ต้องจัดให้ห้องทำแม่พิมพ์มีการถ่ายเทอากาศอย่างดี เนื่องจากส่วนไอระเหยของแอลกอฮอล์กับอากาศในปริมาณที่เหมาะสมจะติดไฟ และจุดระเบิดได้

การจำแนกแก้วตามลักษณะการใช้งาน


  แก้วสามารถจำแนกตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้
1. แก้วที่ใช้ในวงการวิทยาศาสาตร์
  เมื่อพิจารณาสมบัติๆของแก้ว เช่น ทางด้านเชิงกล ความร้อน ทางไฟฟ้า ทางแสง และทางเคมีแล้วแก้วยังสมารถผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในความต้องการได้หลายประเภท เป็นเครื่องมือที่สำคัญในวงการวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เช่น แก้วที่ใช้ทำเลนส์ และแก้วปริซึมในกล้องจุลทรรศน์ที่มีคูณภาพสูง กล้องดูดาวที่ใช้ในการสำรวจจักรกาลโดยศึกษาระยะดวงดาวที่อยู่ห่างไกลจากโลภมากได้ ทำการวิเคราะห์ความลึกลับต่างๆ ของธรรมชาติโดยถ่องแท้โดยใช้สายตาผ่านเลนส์แก้ว นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนาแก้วที่เหมาะสำหรับการใช้งานทางเคมีที่ทนต่อความร้อน และกัดกร่อนจากกรดได้ดีอีกด้วย
  ในห้องผ่าตัดยุคใหม่จะประกอบด้วยแก้วพิเศษซึ่งช่วยลดความร้อนจากหลอดไฟแรงเทียนสูงให้หมดโดยแก้วจะทำหน้าที่คลายความร้อนออกได้ช้ามาก ในทางการแพทย์ ห้องผ่าตัดยุคใหม่ จะใช้แก้วพิเศษชนิดรูปวงแหวนประกอบปืนอิเล็กตรอนใช้ยิงอนุภาคไปฆ่าเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีคุณภาพสูงกว่าการฉายรังสี( เรเดียม )ถึง 2 เท่าตัวในการค้นคว้าวิจัยต้องใช้แก้ว เช่น บิกเกอร์ ปิเปต บูเรต หรือเครื่องมือวิทยาศาสตร์อื่นๆ อีกมาก
2. แก้วที่ใช้ในการให้แสงสว่าง
  ในอดีตจำเป็นต้องใช้โป๊ะแก้ว ปัจจุบันจึงมีหลอดไฟที่มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันเช่น หลอดไฟประหยัดไฟฟ้า ได้แก่ หลอดฟลูออเรสเซนต์ หรือหลอดนีออน ส่วนหลอดที่ใช้ทำป้ายโฆษณาที่มีสวยสดงดงามและหลอดที่มีกำลังส่องสว่างสูงกว่าหลอดธรรมดาด้วย การเกิดสีต่างๆ นั้น เป็นผลเนื่องจากการอัดก๊าซเข้าไปหลอด หรือเกิดจากสารเคมีบางชนิด เช่น แคลเซียมทังสเตนให้สีน้ำเงิน ซิงค์ซิลิเกตให้สีเขียว แคตเมียมบอเรต( cadmium borate ) ให้สีชมพู่
  สำหรับหลอดไฟที่อัดด้วยก๊าซฮาโลนา คลอรีน ฟลูออรีน ไอโอดีน นั้น ขณะที่หลอดติดจะเกิดความร้อนสูงให้แสงสว่างมาก จึงนิยมใช้ทำหลอดไฟสปอตไลด์( sport light ) ของรถยนต์ นอกจากนี้ยังสามารถอัดสารอื่นๆ เข้าไปในหลอดไฟ เช่น โซเดียม ปรอท นิยมใช้เป็นหลอดไฟแสงสว่างตามถนนหนทาง หรือกระโจมไฟ การอัดสารใดๆ เข้าไปหลอดไฟ จะต้องพิจารณาด้านความเหมาะสมในการใช้งาน
 3. แก้วที่ใช้วงการก่อสร้าง
  ในปี พ.ศ 2443 หรือ ค.ศ 1900 ผลิตภัณฑ์แก้วที่นำมาใช้ในวงการก่อสร้างเพียงร้อยละ 7 เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ ได้แก่ แก้วแผ่นใช้บุหน้าต่าง แต่ในปัจจุบันได้นำแก้วมาใช้เป็นจำนวนมาก ทำเป็นผลิตภัณฑ์แก้วแบบต่างๆ เช่น อิฐแก้ว ผลิตภัณฑ์แก้วชนิดเส้นใยใช้ทำม่าน หรือบุเก้าอี้ใช้เป็นฉนวนกันความร้อน ในที่ๆ แสงสว่างน้อยไม่เพียงพอก็ใช้บุเพดานหรือหลังคา หรือ กำแพงด้วยอิฐแก้วก็จะช่วยให้มีแสงสว่างดี และมากขึ้น
  ในปัจจุบันในวงการสถาปัตย์กรรมพยายามหาผลิตภัณฑ์แก้วแบบใหม่มาใช้งาน และนับวันจะมีบทบาทมากขึ้น การใช้เส้นใยแก้วก็เช่นเดียวกัน ได้จากการหลอมแก้ว แล้วใช้การดึงจากแก้วเหลวให้เป็นเส้นใย เมื่อได้เส้นใยขนาดต่างๆ ตามต้องการแล้ว จึงนำไปทอเป็นแผ่น สุดแท้แต่ลักษณะความต้องการในการใช้งาน บางครั้งก็นำเส้นใยไปทอเป็นเสื้อกันความร้อน หรือเสื้อกันไฟ ใยแก้วส่วนใหญ่ใช้บุเป็นฉนวนกันความร้อน ถือว่าเป็นวัตถุช่วยประหยัดเชื้อเพลิงในตู้เย็น จะมีแผ่นฉนวนกันความร้อนบุโดยรอบ
  ในวิทยาการแผนใหม่กล่าวไว้ว่า ช่วงคลื่นของโทรทัศน์สี สามารถถ่ายทอดภาพ และเคลื่อนไปตามเส้นใยแก้วได้เป็นระยะทางไกลๆ แก้วอีกประเภทหนึ่งที่นิยมนำใช้งานก่อสร้าง ได้แก่ แก้วโฟม ( foam giass ) ซึ่งทำจากแก้วบดละเอียดผสมกับถ่านบด แล้วนำไปหลอมที่อุณหภูมิสูง ใช้เป็นวัตถุก่อสร้างที่สำคัญอย่างหนึ่ง สมบัติพิเศษของแก้วโฟม คือ น้ำหนักเบามาก ลอยน้ำได้ ทนไฟ และไม่มีกลิ่น เมื่อหลอมละลายจะเกิดการขยายตัวมีฟองสีดำ เทลงไปลงแบบ และปล่อยให้แข็งตัวจะได้ในวัตถุที่แข็ง ทั้งหมดนี้แสดงว่าแก้วมีบทบาทเกี่ยวข้องกับความเจริญและความใกล้ชิดกับมนุษย์โลกอยู่ตลอดเวลา
4. แก้วในวงการศิปละ
  ผลิตภัณฑ์แก้วประเภทนี้ ไดแก่ แก้วไวแสง ซึ่งมีความไวต่อรังสีอัลตราไวโเลต ซึ่งสามารถใช้อัดภาพในแก้ว นอกจากนี้ยังมีแก้วสีต่างๆ ที่ใช้ในป้ายสัญญาณจราจร แก้วสีมาจากแก้วใส แต่ใส่ออกไซด์ของโลหะลงไปเล็กน้อยทำให้เกิดสีขึ้นในเนื้อแก้ว เช่น ใส่โคบอลต์ออกไซด์ ( cobalt oxide ) ให้สีน้ำเงิน ใส่เหล็กออกไซด์ให้สีชาใส่โครมิกออกไซด์ ( chromic oxide ) ให้สีเขียว
  บางทีก็ใช้ในการทำแว่นตาสีต่างๆ ในกรณีที่เป็นขวดแก้ว เรียกว่า แก้วเจียไน มีการตกแต่งโดยการกัดผิวให้เป็นรูปร่างศิปละขึ้นมา แก้วอีกอย่างหนึ่งที่พบเห็นกันบ่อยๆ เรียกว่า แก้วกระจกสี ซึ่งนิยมใช้ในการตกแต่งโบสถ์ วัดวาอาราม
5. แก้วในวงการอุตสาหกรรม
  แก้วมีส่วนช่วยให้กิจกรรมดำเนินไปด้วยความสะดวกหลายประการ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดจะช่วยแก้ไขได้โดยผลิตภัณฑ์แก้ว เพราะนำไปใช้ในกิจกรรมเฉพาะเรื่องงได้ เช่น แก้วใช้เป็นตัวแลกเปลี่ยนความร้อน ทนความร้อนได้ดี ไม่ผุกร่อน มองเห็นการทำงานได้ง่าย นอกจากนี้แก้วยังนำไปใช้ทำท่อต่างๆ ที่ใช้ในอุาสาหกรรมนม แก้วบางประเภทใช้กันความร้อนในอุตสาหกรรมโลหะ และใช้เป็นชิ้นส่วนของปั๊มบางประเภทที่ต้องทนต่อสารเคมี แก้วชนิดเป็นแก้วโบโรซิลิเกต หรือแก้วซิลิก้า ในปัจจุบันนี้ได้มีวิวัฒนาการนำแก้วมาใช้ทำเครื่องยนต์ต่างๆด้วย
6. แก้วในวงการอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนานคม
  จากการที่แก้วมีสมบัติเป็นฉนวน จึงได้มีการนำแก้วมาใช้ในการโทรคมนานคมและวงการอิเล็กทรอนิกส์ โดยทั่วไปแก้วชนิดนี้ใช้ในวงการวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ ซึ่งขึ้นอยู่กับการออกแบบเป็นพิเศษให้ทนต่อแรงดันไฟฟ้าสูงและช่วงความถี่สูงได้ดี นอกจากนี้ยังใช้ทำเครื่องประกอบทางวิทยุต่างๆ เช่น ตัวเหนี่ยว( inductance ) ตัวเก็บประจุ ( capactior ) หลอดโทรทัศน์สุญญากาศ แก้วบางประเภทนำมาทำเทปใสหนา 1/1000 ของ 1 นิ้ว ใช้ในวงการอิเล็กทรอนิกส์ สะดวกในการนำไปในที่ต่างๆ แม้แต่ลูกถ้วยไฟฟ้าแก้วตามหัวเสาไฟ หรือสายผ่านสัญญาณ ( transmission line ) ที่พบเห็นกันทั่วๆ ไปอีกด้วย
7. แก้วในยุคอวกาศ
  แก้วที่มีบทบาทสำคัญในวงการยุคอวกาศ โดยเฉพาะที่มนุษย์โลกได้พยายามขึ้นไปในอวกาศเพื่อการศึกษาจำเป็นต้องมองผ่านหน้าต่าง ซึ่งทำด้วยแก้วพิเศษ แม้แต่ในจรวดก็เช่นเดียวกัน ส่วนประกอบหลายอย่างใช้แก้วเป็นวัสดุสำคัญรวมถึงกล้องถ่ายรูปชนิดพิเศษที่ติดไปกับจรวดด้วย แก้วเหล่านี้ต้องทนการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโดยฉับพลันได้โดยไม่เกิดการแตก นอกจากนี้ยังทนต่อรังสีอินฟาเรดที่ใช้ทำหน้ากระจังเครื่องบินที่ใช้ความเร็วสูง และใช้กระจกที่ทนต่อความสูงมากๆ แก้วอีกชนิดหนึ่งที่ใช้กับงานจรวด ได้แก่ แก้วเซรามิก ใช้การฉาบผิวที่อุณหภูมิสูง เนื่องจากกระสวยอวกาศก่อนร่อนลงสู่ผิวโลกจะต้องเสียดสีกับอากาศตามชั้นต่างๆ ทำให้เกิดความร้อนสูง จึงจำเป็นต้องเคลือบด้วยแก้วเซรามิกที่หัวจรวด กระเบื้องที่มีรูปร่างเป็นโฟมฟูๆ ฉาบผิวด้วยแก้วซิลิก้า มีการระบายความร้อนดีมาก และเป็นฉนวนกันความร้อนที่เมื่อผ่านชั้นอากาศก็ทนได้ดีซึ่งขึ้นอยู่สารยึดที่ทำให้เซรามิกหรือกระเบื้องติดอยู่ดี หรือไม่เท่านั้น

การจำแนกแก้วตามลักษณะส่วนผสม


  บรรดาผลิตภัณฑ์แก้วนานาชนิดที่มนุษย์ผลิตขึ้นเพื่อสนองความต้องการใช้มีอยู่มากมาย การผลิตแก้วให้เบาเหมือนไม้คอร์ก หรือหนักเหมือนเหล็ก แข็งแรงเหมือนเหล็กกล้า เปราะง่ายเหมือนเปลือกไข่ อ่อนนุ่มเหมือนปุยฝ้าย หรือแข็งเหมือนเพชรพลอย ก็สามารถจะกระทำได้ทั้งสิน โดยทั่วไปแก้วมีลักษณะแข็ง โปร่งแสง เมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัวลง สามารถงอไปมาได้ ดังนั้นจึงสามารถใช้แก้วในงานต่างๆ อย่างกว้างขวาง เช่น งานทางด้านวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม สถาปัตรกรรม โทรคมนาคม วิศวกรรม และยังขยายวงกว้างออกไปโดยไม่มีขอบเขตมีการพัฒนาแก้วชนิดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
  แก้วสามารถจำแนกออกตามส่วนผสมของผลิตภัณฑ์แก้วได้หลายชนิด ได้แก่ แก้วโซดาไลม์ แก้วตะกั่ว แก้วโบโรซิลิเกต วิตเทรียสซิลิก้า แอลคาไลน์ซิลิเกต และแก้วชนิดพิเศษ โดยแก้วละชนิดจะมีส่วนผสมหลัก คือซิลิก้า และแตกต่างกันไปสารอนินทรีย์อื่น
1. แก้วโซดาไลม์
  แก้วโซดาไลม์ ( soda lime glass ) เป็นแก้วที่มีส่วนผสมของโซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียมออกไซด์ผสมอยู่ด้วย เนื้อแก้วชนิดนี้มีราคาถูก หลอมละลายง่ายเมื่อเทียบกับแก้วประเภทอื่น มีประมาณร้อยละ 90 ของผลิตภัณฑ์แก้วทั้งหมด แก้วประเภทนี้ได้แก่ ขวดต่างๆทั้งชนิดใส และมีสี เช่น ถ้วยแก้ว กระจกแผ่น จานชามข้อเสียสำหรับแก้วประเภทนี้ คือ ถ้วยแก้วต่างๆ ผิวบาง มักจะไม่ทนทานในการใช้งาน เกิดการแตกร้าวระหว่างการใช้งานบ่อยๆ เนื่องจากการขยายตัวและหดตัวสูง คำแนะนำในการใช้งานที่เหมาะสม คือ เมื่อนำไปใช้กับน้ำร้อนก็ไม่ควรไปใส่น้ำเย็น หากนำไปใช้สลับทั้งน้ำร้อน และน้ำเย็น อาจทำให้เกิดการแตกได้ง่าย นอกจากนี้ยังนำเอาแก้วประเภทนี้ไปผลิตเป็นแก้วนิรภัยซึ่งใช้เป็นกระจกรถยนต์ แก้วกระสุน และลูกถ้วยไฟฟ้า ( glass insulator )ได้อีกด้วย
2. แก้วตะกั่ว
  แก้วตะกั่ว ( lead glass ) เป็นแก้วที่มีตะกั่วออกไซด์ สมบัติพิเศษของแก้วประเภทนี้มีความมันแวววาว สุกใสการหลอมแก้วโดยการใช้ตะกั่วเป็นตัวลดจุดหลอมละลายตัวของแก้วให้ต่ำลง หลอมง่าย และสวยงาม จึงนิยมนำไปทำผลิตภัณฑ์ประเภทงานศิปละ และเนื่องจากแก้วชนิดนี้มีความต้่านทานไฟฟ้าดี จึงนำไปใช้ผลิตอุปกรณ์วิทยุเรดาร์ หลอดโทรทัศน์ และหลอดชนิดต่างๆด้วย
3. แก้วโบโรซิลิเกต
  แก้วโบโรซิลิเกต( borosilicate glass ) เป็นแก้วที่มีบอแรกซ์ด้วย แก้วประเภทนี้มีลักษณะดีเด่นเป็นพิเศษหลายประการ กล่าวคือ สามารถทนความร้อนได้ดี ทนต่อการกัดกร่อนทางเคมี การหลอมตัวใช้บอแรกซ์เป็นสารลดจุดหลอมละลายตัวของแก้วให้ต่ำลง ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแก้วประเภทนี้ ได้แก่ แก้วที่เข้าเตาอบได้ แก้วที่ใช้ประจำห้องทดลอง ทำท่อในอุสาหกรรม และทำส่วนประกอบการสูบน้ำ กล้องดูดาว
4. วิตเทรียสซิลิก้า
  วิตเทรียสซิลิก้า ( vitreous silica )หรือแก้วซิลิก้า เป็นแก้วที่มีส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 96 จึงหลอมตัวยากต้องใช้อุณหภูมิสูงพิเศษ ขณะหลอมมีฟองเกิดขึ้นมาก จึงนิยมทำการหลอมในสุญญากาศ มีความหนืดสูงมาก เป็นแก้วที่มีความคงทนทางเคมี และทนไฟ้ได้ดี สัมประสิทธิ์การขยายตัวต่ำ มีความแข็งแกร่งดี ทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโดยฉับพลัน มีความต้านทานที่ผิวดีมาก มีราคาแพง โดยมากจะใช้ในกรณีที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีความทนทานต่อความร้อนสูงถึง 2,000 องศาเซลเซียส
5. แอลคาไลน์ซิลิเกต
  แอลคาไลน์ซิลิเกต( alkaline silicate ) เป็นแก้วที่มีโซเดียมออกไซด์และออกไซดือื่นอยู่ในส่วนผสม ทำให้เกิดการละลายตัวในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าวิตเทรียสซิลิก้ามาก การหลอมละลายแก้วชนิดนี้เกิดได้ยากทั้งนี้ขึ้นอยู่กับส่วนผสมของออกไซด์ หากไม่พอเหมาะจะไม่เกิดเนื้อแก้ว ดังนั้นโดยทั่วไป จึงไม่นิยมใช้ทำผลิตภัณฑ์แก้วโดยตรงแต่จะใช้เป็นส่วนผสมในกรณีที่ต้องการให้เกิดการยึดติดของสารให้มากขึ้น เช่น กาว
  นอกจากนี้จะมีแก้วชนิดพิเศษอื่นที่มีลักษณะแตกต่างไปจากที่กล่าวข้างต้น เช่น แก้วโซดาไลม์มีการตกแต่งให้เกิดเป็นสีต่างๆ เพื่อใช้ในงานเฉพาะกิจ บางประเภทต้องการให้เกิดสีสวยงามในเนื้อแก้ว บางประเภทก็ต้องปรับปรุงคุณภาพโดยเฉพาะให้ทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโดยฉับพลันโดยไม่แตกหรือมีความคงทนต่อแรงกระทบกระแทรก ดังจะพบว่าจากบางประเภทผลิตภัณฑ์จากฝรั่งเศล หรือ อิตาลี สามารถทดลองโยนลงจากที่สูงให้กระทบพื้นโดยไม่แตกร้าวประการใด

ประเภทของแก้ว


  แก้ว คืออะไร แก้ว คือ สลารชนิดหนึ่ง แต่ในกรณีของสสารทั่วไปมี 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว และก๊าซ ในสภาวะที่เป็นก๊าซเมื่อเย็นตัวลงจะกลายเป็นของเหลว และเมื่อเย็นตัวต่อไปก็จะกลายเป็นของแข็ง เช่น น้ำเป็นของเหลว เมื่อร้อนขึ้นจะกลายเป็นไอ เมื่อเย็นจัดจะกลายเป็นน้ำแข็ง แต่ในกรณีของแก้วนั้น ถึงแม้เมื่อมีอุณหภูมิสูงก็ยังมีสถานะเป็นของเหลวโดยไม่กลายสภาพเป็นก๊าซ ความหนืดของน้ำแก้วในขณะหลอมละลายหรือที่เรียกว่า น้ำแก้ว ( molten glass ) และเมื่ออุณหภูมิต่ำลงเป็นของแข็งที่ไม่เป็นผลึกหรือในรูปอสัณฐาน และมีความแข็งแรงในเนื้อ แต่มีความเปราะของเนื้อแก้ว
  แก้วเป็นสารประกอบซิลิก้าหรือซิลิกอนไดออกไซด์( SiO2 ) ที่มีสารโลหะออกไซด์อื่นหรือมีสารอนินทรีย์บางชนิดอยู่ด้วย มีลักษณะเป็นของแข็งใส มองผ่านทะลุได้ แต่มีความเปราะอยู่ในตังเอง เมื่อนำมาเผาให้ถึงจุดหลอมละลายที่อุณหภูมิสูง และเย็นตัวลงจะได้วัตถุใสโปร่งตา มีความแวววาวสุกใส
  แก้วมีทั้งที่เกิดโดยธรรมชาติและโดยมนุษย์สร้างขึ้น ในยุคหินที่มนุษย์เริ่มรู้จักใช้ไฟในการหุงต้มตรงเชิงตะกอนเตาเมื่อได้รับความร้อนสูงพออาจทำให้เกิดการหลอมละลายที่ผิวกลายเป็นลูกปัดแก้ว แก้วธรรมชาติเกิดจากการหลอมตัวของทรายหรือทรายแก้ว ซึ่งทางเคมี เรียกว่า ซิลฺกอนไดออกไซด์ ( silicon dioxide ) ซึ่งเกิดในลักษณะของหิน หรือแร่ โดยธรรมชาติ เช่น หินเขี้ยวหนุมาน ซึ่งในทางธรรมชาติจะใช้เวลานานมากกว่าจะได้แก้วดังนั้นมนุษย์จึงคิดค้นหาวิธีการผลิตแก้วให้ได้โดยไม่ใช้เวลานาน โดยนำมาหลอมที่อุณหภูมิสูงและมีวัตถุดิบเพื่อให้เกิดแก้วตามที่ต้องการ แก้วที่ได้โดยฝีมือมนุษย์สามารถจำแนกได้ 2ลักษณะ คือ ประเภทแก้วที่จำแนกตามลักษณะส่วนผสมและตามลักษณะการใช้งาน

มวลโลหะทีเคลือบ


  ลักษณะและสมบัติของโลหะที่ใช้เป็นวัสดุพิมพ์มีทั้งทางเคมีและทางกายภาพ ทางเคมีมีส่วนใหญ่จะเน้นที่ความสามารถของโลหะในด้านความทนทานต่อการกัดกร่อนซึ่งจะไม่กล่าวถึงในรายละเอียดมากนักในที่นี้ลักษณะและสมบัติของโลหะที่จะเน้นจะเป็นทางด้านกายภาพ โลหะที่จะกล่าวถึงโดยส่วนใหญ่ คือ แผ่นเหล็กกล้าเคลือบดีบุก ทั้งนี้เนื่องจากมีปริมาณการใช้ที่นิยมมาก
  มวลดังกล่าวนี้เป็นมวลโลหะที่ใช้เคลือบ การระบุในรูปที่เป็นมวลโลหะที่ใช้เคลือบทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าการเคลือบของโลหะสม่ำเสมอตลอดทั้งนี้แผ่นโลหะที่เป็นฐานรองรับ ไม่นิยมที่จะวัดความหนาเนื่องจากแผ่นโลหะที่เป็นฐานรองรับอาจมีความหนาที่ไม่สม่ำเสมอตลอดทั้งแผ่น ซึ่งจะมีผลทำให้โลหะที่เคลือบมีความหนาในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันไปและจะมีผลต่อการกัดกร่อนที่จะเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการเคลือบที่บางและไม่ทั่วจากมวลที่ได้สามารถนำค่าตัวเลขดังกล่าวมาคำนวณหาความหนาโดยเฉลี่ยได้ซึ่งจะไม่กล่าวถึงในที่นี้ โดยปกติถ้ามวลของโลหะที่เคลือบมาก ความหนาจะมากตามด้วย มวลของโลหะที่เคลือบมาก ความหนาจะมากตามด้วย มวลของโลหะที่ใช้เคลือบสามารถแบ่งได้ตามแผ่นโลหะที่ใช้ 2 ประเภท คือ มวลของดีบุกที่เคลือบ และมวลของโครเมียมที่เคลือบ
1. มวลดีบุกที่เคลือบ
  มวลดีบุกที่เคลือบ ( tin-coating mass ) โดยปกติเหล็กกล้าเคลือบดีบุกจะมีลักษณะของดีบุกที่เคลือบเป็น 2 ลักษณะ คือ เคลือบดีบุกเท่ากันทั้งสองด้าน และเคลือบดีบุกไม่เท่ากันทั้งสองด้าน มวลของดีบุกไม่เท่ากันทั้งสองด้าน มวลของดีบุกที่ใช้เคลือบโดยทั่วไปมี 5 ระดับ คือ 2.8.5.6.8.4.11.2 และ 15.1 กรัมต่อตารางเมตร
  การเคลือบทั้งสองด้าน คือ ด้านบนและด้านล่างนั้น ด้านบนในที่นี้หมายถึงด้านที่เป็นด้านสัมผัสกับการพิมพ์หรือเป็นด้านที่พิมพ์ ส่วนด้านล่างจะเป็นด้านที่อยู่ในกระป๋องจะสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ที่บรรจุ เช่น อาหาร ในการระบุการเคลือบจะแสดงเป็นการเคลือบด้านบนและด้านล่าง คือ บน/ล่าง เช่น 2.8/2.8 หมายถึง การเคลือบดีบุกให้มวลเคลือบด้านบนเท่ากับด้านล่าง เป็น 2.8 กรัมต่อตารางเมตรโดยปกติจะมีการใช้สัญลักษณ์ E กำกับด้วยเช่น E 2.8/2.8 ในกรณีที่เคลือบไม่เท่ากันก็จะมีตัวเลขที่แสดงต่างกัน เช่น 5.6/2.8
  การเคลือบที่แตกต่างกันสองด้านของดีบุกจะกระทำได้เฉพาะเป็นการเคลือบด้วยไฟฟ้าเท่านั้น ถ้าเป็นการเคลือบด้วยการจุ่มดีบุกร้อน จะให้การเคลือบของน้ำหนักดีบุกสองเท่ากัน ในการเคลือบดีบุกที่มีน้ำหนักของดีบุกที่เคลือบสองด้านต่างกัน จะมีการระบุให้ผู้ใช้หรือโรงพิมพ์ทราบว่าด้านใดหนาบางต่างกัน โดยระบุเป็นเครื่องหมายแสดงการเคลือบที่ต่างกัน ( tinplate coating weigh mark ) มีลักษณะเป็นเส้นหลายแบบ เช่น เส้นตรงต่อเนื่องตามความยาวของแผ่นเหล็กกล้า เส้นทแยง เส้นวงกลม ส่วนใหญ่ที่นิยมจะเป็นหลายแบบ เช่น เส้นตรงต่อเนื่องตามความยาวของแผ่นเหล็กกล้าเคลือบดีบุก จะใช้สำหรับระบุให้ทราบว่าแผ่นเหล็กกล้าเคลือบดีบุกนี้มีการเคลือบสองด้านต่างกัน
  ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่นมีสัญลักษณ์ที่ใช้ 2 แบบ คือ D และ A ซึ่งต่างกันที่ขนาดของเส้น คือ D เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงเส้นหนาหรือความกว้างของเส้น 2 มิลลิเมตร และลักษณะของเส้นที่ใช้เป็นตรงลากขนานกันไปในทางเดียวกับทิศทางของแนวรีดตลอดทั้งแผ่น
  ส่วนมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมในประเทศไทยนั้น มีลักษณะของการแสดงเครื่องหมายที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย คือ มีสัญลักษณ์ที่ใช้เป็น D ซึ่งหมายถึง เส้นที่แสดงความแตกต่าง ( differential line ) ของการเคลือบที่มีน้ำหนักต่างๆกันลักษณะของเส้นที่ใช้ลากขนานกันและไปทางเดียวกันกับทิศทางแนวรีดตลอดทั้งแผ่นเช่นเดียวกันตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของประเทศญี่ปุ่น แต่เส้นที่ใช้จะมีความกว้างของเส้นเพียง 1 มิลลิเมตรและไม่พบว่ามีการใช้เครื่องหมายที่มีสัญลักษณ์ A
  ลักษณะของเส้นที่เกิดมีสีขาว ได้จากการปล่อยสารเคมีผ่านท่อเล็กๆ ที่ปลายท่อหุ้มด้วยผ้าสักหลาดที่สัมผัสบนแผ่นเหล็กเคลือบดีบุก สารเคมีที่ใช้ คือ สารละลายโซเดียมคาร์บอเนต ความเข้มข้นประมาณ 20 กรัมต่อลิตร การกำหนดสัญลักษณ์เพื่อทำเส้นอาจเป็นด้านบนหรือด้านล่างแล้วแต่ความต้องการของผู้ใช้ โดยส่วนใหญ่นิยมเป็นด้านที่พิมพ์เพื่อเมื่อพิมพ์หมึกพิมพ์แล้วจะมองไม่เห็นลวดลายของเส้น แต่ในบางครั้งถ้าการพิมพ์ต้องการแสดงผิวของโลหะ ลายเส้นที่แสดงควรกำหนดให้อยู่ด้านล่าง ระยะห่างระหว่างเส้นขนานจะแตกต่างกันไป
  ความถี่ห่างของเส้นที่กำหนดแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งานของแผ่นโลหะ เช่น ลำตัว ขนาดของแต่ละชิ้นที่ใช้จะใหญ่เล็กไม่เท่ากัน การตัดแบ่งแผ่นโลหะไปใช้จะไม่เท่ากัน ถ้ามีการใช้ไม่เหมาะสมอาจมีผลทำให้เส้นที่แสดงเครื่องหมายไม่ถูกตัดแบ่งไปด้วย ทำให้ไม่ทราบชัดเจนว่าด้านใดเป็นด้านที่เคลือบหนาบางต่างกัน
2. มวลโครเมียมที่เคลือบ
  เหล็กกล้าปลอดดีบุกเป็นแผ่นเหล็กกล้าที่เคลือบด้วยชั้นโครเมียมออกไซด์ ชั้นเคลือบของโครเมียมและโครเมียมออกไซด์จะมีหน่วยน้ำหนักเป็นมิลลิกรัมต่อตารางเมตรต่อด้าน มวลโครเมียมที่เคลือบจะไม่หลากหลายเหมือนมวลดีบุกที่เคลือบ มวลโครเมียมที่เคลือบโดยเฉลี่ยที่น้อยที่สุดประมาณ 30 มิลลิกรัมต่อตารางเมตรต่อต้าน และมวลสำหรับชั้นโครเมียมออกไซด์เฉลี่ยที่น้อยที่สุดประมาณ 5 มิลลิกรัมต่อตารางเมตรต่อด้าน

อะลูมิเนียมที่ใช้ในทางการพิมพ์

  อะลูมิเนียมจัดเป็นโลหะที่มีน้ำหนักเบาและขึ้นรูปได้ง่ายกว่าเหล็กกล้า อะลูมิเนียมมีสภาพนำไฟฟ้าและความร้อนดี ความสามารถในการสะท้อนแสงสูง และมีความต้านทานการออกซิไดส์ อะลูมิเนียมได้จากการถลุงแร่จากสินแร่ออกไซด์ หรือ บอกไซด์ ( bauxite ) ซึ่งเป็นสินแร่ที่นิยมใช้ในการผลิตอะลูมิเนียม สารที่ได้จากบอกไซด์ คือ อะลูมินา ( alumina ) ซึ่งเป็นออกไซด์ของอะลูมิเนียมที่มีน้ำอยู่ด้วย ( hydrated  aluminiumoxide,AI2O.H2O ) ในการแยกเพื่อให้ได้อะลูมิเนียมจะทำโดยการอิเลกโตกไลด์ในการละลายโพแทสเซียมอะลูมิเนียมฟลูออไรด์ ( potassium aluminium fluoride ) บอกไซด์เป็นสินแร่ที่หายากกว่าสินแร่เหล็กกล้า บอกไซด์ประมาณ 4 กิโลกรัม สามารถให้อะลูมิเนียมได้เพียง 1 กิโลกรัม จึงทำให้ต้นทุนในการผลิตเป็นโลหะอะลูมิเนียมมีราคาแพง จึงมีการนำอะลูมิเนียมมาหมุนเวียนใช้ใหม่
  อะลูมิเมียมเป็นโลหะที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าของเหล็กกล้า เป็นโลหะที่สามารถปั๊มยึดได้ง่ายกว่าเหล็กกล้า เป็นโลหะที่สามารถปั๊มยึดได้ง่ายกว่าเหล็กกล้า แผ่นอะลูมิเนียมที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นโลหะผสมระหว่างอะลูมิเนียมกับแมงกานีส อะลูมิเนียมมีปริมาณการใช้เพิ่มมากขึ้นในอุตสาหกรรมกระป๋องโดยเฉพาะกระป๋องชนิด 2 ชิ้น และนิยมเป็นฐานรองรับที่ดีสำหรับการพิมพ์
  อะลูมิเนียมจะมีชั้นป้องกันผิวหน้าด้วยชั้นของออกไซด์เหมือนกับเหล็กกล้าปลอดดีบุกที่มีโครเนียมออกไซด์ อะลูมิเนียมมีสมบัติเหมือนกับเหล็กกล้าเคลือบโครเมียมหรือเหล็กกล้าปลอดดีบุก คือ ไม่สามารถบัดกรีได้ อะลูมิเนียมสำหรับการนำมาใช้เป็นบรรจุภัณฑ์มีข้อดี คือ ความหนาแน่นประมาณ 2.70 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร และมีความอ่อนซึ่งช่วยให้ขึ้นรูปเป็นกระป๋องแและหลอดได้โดยการดึงยึดที่อุณหภูมิปกติหรือการทำให้เป็นแผ่นบางๆ หรือฟอยล์ ( aluminium foil )
  การใช้อะลูมิเนียมฟอยล์ที่นิยม คือ ใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน ( flexible packaging ) โดยลามินเนตฟอยล์ติดกับวัสดุอื่น เช่น กระดาษ พลาสติก ตัวอย่างการใช้ เช่น ซองใส่อาหารสำเร็จรูป ใช้เป็นแผ่นปิดบนปากถ้วยโยเกิร์ต ขวดนม ความหนาบางของฟอยล์ขึ้นกับความเหมาะสมของการนำไปใช้งาน กล่าวคือ ถ้าใช้เพื่อลามิเนต ความหนาจะอยู่ระหว่าง 0.006-0.009 มิลลิเมตร แต่ถ้าใช้เพื่อปิดปากถ้วยและขวด ความหนาจะอยู่ระหว่าง 0.1- 0.2 มิลลิเมตร ซึ่งจะเป็นแผ่นฟิล์มอะลูมิเนียมกึ่งแข็ง ไม่อ่อนเหมือนแบบแรกที่บาง การพิมพ์อาจมีทั้งการพิมพ์บนฟอยล์โดยตรงและบนวัสดุอื่น เช่น กระดาษ พลาสติก ที่ลามิเนตด้วยฟอยล์ นอกจากที่กล่าวแล้วใช้งานของฟอยล์ก็ยังมีเช่น ซองยา แผงยาที่มีฟอยล์พิมพ์อยู่ด้านหลังเพื่อกดเอายาออกมา
  อะลูมิเนียมที่ใช้สำหรับผลิตกระป๋องชนิด 2 ชิ้น จะนิยมผลิตใช้รูปม้วนหรือคอยล์ส่งไปยังโรงงานผลิตกระป๋อง ลักษณะของคอยล์อะลูมิเนียมที่ผลิตส่วนใหญ่จะมีความหนา 0.29-0.33 มิลลิเมตร และมีหน้ากว้างอยู่ในช่วง 600-1,750 มิลลิเมตร น้ำหนักของคอยล์หนักถึง 10 ตัน อะลูมิเนียมจะต้องได้รับการทำให้ลื่นด้วยน้ำมันเพื่อให้ง่ายขึ้นต่อการขึ้นรูปเป็นกระป๋อง 2 ชิ้นแบบรีดยึดลำตัว

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับตัวพิมพ์

     ตัวพิมพ์มีการพัฒนารูปลักษณ์มาจากเค้าโครงตัวเขียนของภาษาต่างๆ ดังเช่นในกรณ๊ตัวพิมพ์ไทยตัวพิมพ์แบบแรกๆ ที่ใช้พิมพ์หนังสือในประเทศไทย คือ "บรัดเลย์เหลี่ยม" หรือตัวพิมพ์ที่ใช้ในหนังสือพิมพ์"บางกอกรีคอร์เดอร์" นั้น  สันนิษฐานว่ามีเค้าโครงมาจากลายมือแบบอาลักษณ์  ที่พบปรากฎตามเอกสารในยุคต้นรัตนโกสินทร์ตัวพิมพ์ในรุ่นต่อมาได้พัฒนาลักษณะโครงสร้างส่วนประกอบให้เหมาะสมกับเทคนิคการพิมพ์  คือ การแยกช่องว่างระหว่างตัวอักษรแต่ละตัว  มีลำตัวตั้งตรง  แทนเส้นเอน  และมีความต่อเนื่องดังที่มักปรากฏในตัวเขียนอันเนื่องมาจากความถนัดในการใช้มือ

ตัวพิมพ์แบบ"บรัดเลย์เหลี่ยม" ที่ปรากฎอยู่ในหนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์เดอร์

หลังจากได้สร้างประวัติศาสตร์การผ่าตัดไว้ให้ไทยแล้ว นพ.แดน บีช บรัดเลย์ มิชชันนารีอเมริกัน ก็ได้ตั้งโรงพิมพ์แห่งแรกขึ้นในเมืองไทย เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๗ ที่บ้านพักหลังป้อมวิชัยประสิทธิ์ โดยซื้อแท่นพิมพ์ต่อจาก ร.ท.โลว์ นายทหารอังกฤษ ผู้เข้ามาศึกษาภาษาไทยอยู่หลายปี และประดิษฐ์แม่พิมพ์ตัวอักษรไทยขึ้น พิมพ์เป็นตำราเรียนภาษาไทยที่สิงคโปร์ เพื่อแจกจ่ายให้ข้าราชการและพ่อค้าชาวอังกฤษที่จะมาติดต่อกับเมืองไทย

เมื่อตั้งโรงพิมพ์ขึ้นแล้ว หมอบรัดเลย์ก็พิมพ์หนังสือสำหรับเผยแพร่ศาสนา และรับงานพิมพ์ทั่วไป ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ก็ทรงให้พิมพ์ใบปลิวห้ามการสูบฝิ่น จำนวน ๙,ooo ฉบับ แจกจ่ายราษฎรนับเป็นเอกสารทางการฉบับแรกที่ใช้การพิมพ์ และ ยังพิมพ์ปฏิทินไทยเป็นครั้งแรก กับพิมพ์ตำราปืนใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย

ต่อมาหมอบรัดเลย์เห็นว่า ชาวต่างประเทศที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยจำนวนมาก อยากจะรู้ข่าวสารบ้านเมืองบ้าง จึงได้ปรึกษาคณะมิชชันนารี ออกเป็นหนังสือข่าวขึ้น ให้ชื่อว่า The Bangkok Recorder มีทั้งฉบับภาษาอังกฤษและภาษาไทย เพื่อให้พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางข้าราชการได้อ่านด้วย โดยออกฉบับปฐมฤกษ์ในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๙๘ เป็นรายปักษ์ทำให้ไทยมีหนังสือพิมพ์ก่อนประเทศญี่ ปุ่นถึง ๑๗ ปี หมอบรัดเลย์เรียกหนังสือพิมพ์ของเขาว่า “จดหมายเหตุ” บ้าง “นิวสะเปเปอ” บ้าง และ “หนังสือพิมพ์” บ้าง ต่อมาคำว่า “หนังสือพิมพ์” ได้รับการยอมรับจนใช้มาถึงวันนี้

เนื้อหามีการนำเสนอเป็นรายงานข่าวและบทความแบบวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ในยุคนั้น จุดประสงค์ก็เพื่อเน้นให้เห็นว่าหนังสือพิมพ์คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร และพยายามชี้ให้เห็นว่าหนังสือพิมพ์มีคุณค่าต่อประชาชน เป็นแสงสว่างของบ้านเมือง คนชั่วเท่านั้นที่กลัวหนังสือพิมพ์ เพราะหนังสือพิมพ์จะประจานความชั่วของเขา

“บางกอกรีคอร์เดอร์” ออกไปถึงปีก็หยุดกิจการ เพราะสังคมชั้นสูงไทยรับไม่ได้กับการถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้ไม่ได้รับการสนับสนุน แต่บางครั้งเอาไปรวมกับฉบับภาษาอังกฤษจนในวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๐๘ “บางกอกรีคอร์เดอร์ ” ก็ออกใหม่อีกครั้งเสนอทั้งข่าวในประเทศ ข่าวต่างประเทศ บทความ และจดหมายจากผู้อ่าน ครั้งนี้ออกอยู่ได้ ๒ ปีก็เกิดเรื้องอีก

สาเหตุมาจากการปักปันเขตแดนสยามกับอาณานิคมของฝรั่งเศสในอินโดจีน ฝรั่งเศสซึ่งเล่นบทหมาป่ากับลูกแกะพยายามเอาเปรียบทุกทาง แต่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) สมุหกลาโหม ไม่ยอมอ่อนข้อให้ ม.กาเบรียล ออบาเรต์ กงสุลฝรั่งเศสขุ่นเคือง จึงกราบทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ให้ปลดเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ออกจากคณะกรรมการปักปันเขตแดน แต่ รัชกาลที่ ๔ ไม่โปรดตามคำทูล ม.ออบาเรต์ จึงทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรไปยื่นดักรออยู่หน้าวัง ยื่นถวายพร้อมกับคำขู่ว่า ถ้าไม่ทำตามประสงค์ของเขา สัมพันธไมตรีระหว่างไทย กับฝรั่งเศสจะต้องขาดสะบั้น เกิดสงครามขึ้นเป็นแน่ พระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ตรัสตอบแต่อย่างใด เสด็จเข้าวังไป

หมอบรัดเลย์เอาเรื่องนี้มาตีแผ่ใน “บางกอกรีคอร์เดอร์” ทั้งยังออกความเห็นด้วยว่า การกระทำของทูตฝรั่งเศสนี้ผิดวิธีการทูต และดักคอว่าการไม่ยอมปลดสมุหกลาโหม กงสุลฝรั่งเศสอาจพยายามแปลความเป็นว่า ในหลวงได้ทรงหยามเกียรติพระเจ้าจักรพรรดินโปเลียน และอ้า งเอาเป็นเหตุทำสงครามกับสยามก็เป็นได้

การตีแผ่ของ “บางกอกรีคอร์เดอร์” ทำให้สงสุลฝรั่งเศสไม่กล้าแสดงอำนาจบาตรใหญ่กับคณะกรรมการปักปันเขตแดนต่อไป แต่หันไปฟ้องหมอบรัดเลย์ต่อศาลกงสุลในข้อหาหมิ่นประมาท

คดีนี้ทั้งคนไทยและฝรั่งในบางกอกต่างก็สนับสนุนหมอบรัดเลย์กงสุลอังกฤษเสนอเป็นทนายให้กงสุลอเมริกันเป็นผู้พิพากษา แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ มีพระราชประสงค์ที่จะไม่สร้างความขุ่นเคืองให้กงสุลฝรั่งเศสอีก จึงห้ามข้าราชการไทยที่รู้เห็นเหตุการณ์ไปเป็นพยานในศาล ผลจึงปรากฎว่าหมอบรัดเลย์แพ้คคี ถูกปรับเป็นเงิน ๔๐๐ เหรียญอเมริกันและให้ประกาศขอขมากงสุลฝรั่งเศสในบางกอกรีคอร์เดอร์ ซึ่งคนไทย และชาวต่างประเทศได้เรี่ยไรกันออกค่าปรับให้ ส่วนเรื่องขอขมานั้น หมอบรัดเลย์ได้ตอบโต้ ม.ออบาเรต์อย่างสะใจโดยหยุดออกบางกอกรีคอร์เดอร์ เลยไม่รู้จะเอาหนังสือพิมพ์ที่ไหนขอขมา

เมื่อเรื่องราวสงบแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้พระราชทานเงินให้หมอบรัดเลย์ ๒,๐๐๐ เหรียญเป็นค่ารักษาข้าราชสำนักฝ่ายใน “ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นค่าปลอบใจเรื่องนี้นั่นเอง.

กระแสงานของงานก่อนพิมพ์

         งานก่อนพิมพ์เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าข้อมูลเนื้อหาและภาพ    เพื่อจัดทำเป็นองค์ประกอบของหน้างานพิมพ์   และการดำเนินการต่างๆ  ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แม่พิมพ์มีความถูกต้องและคุณภาพ  พร้อมที่จะนำข้อมูลไปสู่การพิมพ์ตามระบบการพิมพ์ต่างๆ  กระแสงานของงานพิมพ์ที่สำคัญๆ  ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้

  1. งานนำเข้าข้อมูล (INPUT) เพื่อนำข้อมูลไปสู่การทำงานก่อนพิมพ์ เป็นการนำเข้าข้อมูลเนื้อหาทั้งส่วนที่เป็นข้อความหรือตัวอักษรมาจัดเรียงตัวพิมพ์  และนำภาพต้นฉบับมาดำเนินการให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการจัดประกอบหน้าสิ่งพิมพ์  โดยอาจเป็นการกราดภาพจากต้นฉบับ  หรือการถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิทัลได้เป็นไฟล์ภาพ  การทำงานอาศัยคอมพิวเตอร์  และอุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับการนำเข้าข้อมูลต่างๆ
  2. งานประมวลผลข้อมูล(PROCESS) เพื่อจัดทำข้อมูลงานก่อนพิมพ์ให้สำเร็จ  เป็นการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยการกำหนดรายละเอียดหน้างานพิมพ์  เช่น  ขนาดหน้างานพิมพ์  ระยะขอบหน้างานพิมพ์  จากนั้นทำการจัดวางตัวพิมพ์และลงภาพในตำแหน่งที่กำหนดไว้ให้มีความลงตัวและสวยงาม  รวมทั้งกำหนดองคืประกอบต่างๆ  ที่ตอ้งการให้ครบถ้วน  เช่น  สี  กรอบ  ลายเส้น  เป็นต้น
  3. งานส่งออกข้อมูล (OUTPUT) เพื่อทำการพิมพ์  เมื่องานในขั้นตอนการจัดประกอบหน้าสำเร็จลุล่วงและได้มีการตรวจสอบอย่างรอบครอบแล้ว  ก็จะส่งข้อมูลเพื่อจัดทำแม่พิมพ์หรืองานพิมพ์  โดยเกี่ยวข้องกับการวางหน้างานพิมพ์  การพรีไฟลต์  ทำปรู๊ฟสี  และการส่งออกข้อมูลงานวางหน้าเพื่อจัดทำแม่พิมพ์หรืองานตรวจสอบข้อมูลที่จะส่งออกเพื่อแสดงผลทางเครื่องพิมพ์ดิจิทัล  ทั้งนี้งานดังกล่าวต้องสอดคล้องและเหมาะสมที่จะนำไปจัดทำแม่พิมพ์หรือพิมพ์ผลออกตามระบบการพิมพ์ที่จะใช้พิมพ์ในแต่ละงาน  การทำงานอาศัยคอมพิวเตอร์  โปรแกรมคอมพิวเตอร์  และอุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับการส่งออกข้อมูล  รวมทั้งเครื่องประเภทต่างๆ  ง
                  กระแสงานของงานก่อนพิมพ์ที่กล่าวข้างต้น  เป็นกระแสงานก่อนพิมพ์ในระบบการพิมพ์ดิจิทัลมากกว่างานก่อนพิมพ์ในระบบแอนะล็อก  และเป็นอุปกรณ์ที่ใช้กัยอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

การเคลือบและการตกแต่งลวดลาย


  การเคลือบและการตกแต่งลวดลาย( glaze and decoration ) เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีสีสัน ลวดลายที่สวยงาม และทำให้ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลาย
  การตกแต่งลวดลายทำได้ 2 วิธี คือ การตกแต่งลวดลายใต้เคลือบ ( under giaze decoration ) และการตกแต่งลวดลายบนเคลือบ ( overglaze decoration )
  5.1 การตกแต่งลวดลายใต้เคลือบ หมายถึง การทำลวดลายต่างๆ ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การเขียนด้วยมือ การใช้ตรายางประทับบนผิว การใช้รูปลอกการพิมพ์ หลังจากทำการตกแต่งลวดลายแล้ว จึงทำการเคลือบทับ และนำไปเผาเคลือบต่อไป
  5.2 การตกแต่งลวดลายบนเคลือบ หมายถึง การนำผลิตภัณฑ์เซรามิกที่ผ่านการเคลือบและเผาเคลือบแล้วจึงนำมาตกแต่งลวดลาย เช่น การเขียน การใช้รูปลอก( transfer paper ) การพิมพ์ฉลุลายผ้า เพื่อทำให้ได้ลวดลายรูปแบบต้องการ แล้วจึงนำไปอบที่อุณหภูมิประมาณ 700-900 องศาเซลเซียส เพื่อให้สีหลอมละลายติดกับผิวเคลือบ การตกแต่งบนเคลือบจะให้สีที่สดใสกว่า แต่จะมีความคงทนน้อยกว่าการตกแต่งใต้เคลือบ
  การตกแต่งลวดลายบนเคลือบ สามารถกระทำโดยนำผลิตภัณฑ์ดิบที่ผ่านการอบแห้ง งบประมาณ 100 องศาเซลเซียส มาผ่านการเคลือบ และเข้าสู่การพิมพ์ฉลุลายผ้าเลย โดยไม่ต้องมีการเผาหลังการเคลือบก่อน แต่จะเผาเคลือบหลังจากพิมพ์ฉลุลายผ้าเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นการเผาครั้งเดียว วิธีนี้นิยมใช้ในการผลิตกระเบื้องเซรามิก อุณหภูมิที่ใช้สำหรับการเผากระเบื้องประมาณ 1150 องศาเซลเซียส จะได้เป็นภาพพิมพ์บนกระเบื้องตามต้องการ
  สรุปได้ว่า การตกแต่งลวดลายบนผลิตภัณฑ์เซรามิก สามารถกระทำได้ 2 วิธี คือ ก่อนการเคลือบ และหลังการเคลือบ
  ถ้าเป็นการตกแต่งลวดลายก่อนการเคลือบ ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการเคลือบแล้วจะเข้าสู่ขั้นตอนการเผาเคลือบ( glost firing ) อุณหภูมิการเผาเคลือบแล้วแต่ชนิดของน้ำยาเคลือบที่ใช้ แต่ถ้าเป็นการตกแต่งหลังเคลือบผลิตภัณฑ์ที่เคลือบแล้วจะผ่านการอบสีอีกครั้ง จากนั้นผลิตภัณฑ์เซรามิกที่ได้จะนำมาตรวจสอบคูณภาพตามมาตรฐานกำหนดแล้วนำไปบรรจุหีบห่อ รอการจำหน่ายต่อไป เป็นการสิ้นสุดกระบวนการผลิต
   

nn

คลังบทความของเทคโนโลยีการพิมพ์