ในการออกแบบงานพิมพ์ หลายคนเลือกตั้งค่า DPI สูง เช่น 300–600 DPI เพื่อให้ภาพมีความคมชัด แต่กลับพบว่าไฟล์งานพิมพ์ยังไม่คมตามที่คาดหวัง ซึ่งปัญหานี้มักเกิดจากหลายสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพไฟล์ต้นฉบับ การตั้งค่าซอฟต์แวร์ รวมถึงเทคโนโลยีของเครื่องพิมพ์เอง การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้สามารถแก้ไขงานพิมพ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. ภาพต้นฉบับมีความละเอียดต่ำจริง แม้ตั้ง DPI สูง
หลายครั้งการตั้ง DPI สูงในโปรแกรมไม่ได้ช่วยเพิ่มรายละเอียดให้กับภาพ เพราะ ภาพต้นฉบับ (Source Image) มีความละเอียดต่ำตั้งแต่แรก จึงทำให้การขยายภาพส่งผลให้ภาพแตกหรือเบลอไม่คม ดังนั้นไฟล์ที่นำมาใช้ควรเป็นภาพความละเอียดแท้จริงสูง เช่น 3000 px ขึ้นไป
2. ใช้ไฟล์ประเภทที่บีบอัดมากเกินไป
การใช้ไฟล์ JPG ที่ถูกบีบอัดมากเกินไป ทำให้ข้อมูลรายละเอียดของภาพลดลง แม้จะตั้ง DPI สูง แต่ข้อมูลส่วนที่หายไปไม่สามารถกู้คืนได้ ควรเลือกใช้ไฟล์ประเภท PNG หรือ TIFF สำหรับงานพิมพ์คุณภาพสูง
3. การตั้งค่าระบบสีไม่ถูกต้อง (RGB → CMYK)
เมื่อส่งงานพิมพ์ ผู้ใช้อาจออกแบบด้วยโหมดสี RGB ซึ่งมีขอบเขตสี (Gamut) กว้างกว่า CMYK ทำให้เมื่อแปลงเป็นระบบพิมพ์จริง สีอาจซีดลงหรือดูไม่คมชัด ควรแปลงโหมดสีเป็น CMYK ก่อนพิมพ์
4. เครื่องพิมพ์หรือหมึกพิมพ์คุณภาพต่ำ
แม้ไฟล์จะคมชัดมาก แต่หากเครื่องพิมพ์หรือหัวพิมพ์เสื่อม รวมถึงหมึกคุณภาพต่ำ ก็ทำให้ตัวอักษรหรือภาพดูไม่คม ควรตรวจสอบสภาพหัวพิมพ์ การทำความสะอาด และคุณภาพหมึกที่ใช้
5. การตั้งค่าความละเอียดของเครื่องพิมพ์ไม่ตรงกับไฟล์
แม้ไฟล์จะตั้ง DPI 300 แต่เครื่องพิมพ์ถูกตั้งให้พิมพ์ที่ 150 DPI ก็ทำให้งานออกมาคุณภาพต่ำได้ ดังนั้นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า ค่า DPI ของไฟล์และเครื่องพิมพ์ตรงกัน
สรุป
การตั้ง DPI สูงไม่ได้หมายความว่างานพิมพ์จะคมเสมอไป แต่ต้องคำนึงถึงความละเอียดของไฟล์ต้นฉบับ ประเภทไฟล์ ระบบสี รวมถึงความสามารถของเครื่องพิมพ์ร่วมด้วย การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้งานพิมพ์ออกมาคมชัดอย่างมืออาชีพ
คำค้นหาเกี่ยวข้อง : DPI สูง, ภาพไม่คม, ปัญหางานพิมพ์, ความละเอียดภาพ, คุณภาพงานพิมพ์
DPI, งานพิมพ์ไม่คม, ปัญหาภาพพิมพ์, ความละเอียดภาพ, ออกแบบกราฟิก




